10 ก.ค.- ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ลงพื้นที่พูดคุยกับรองหัวหน้าแผนกกู้ชีพมูลนิธิร่วมกตัญญู ถึงกรณีกู้ภัยสาวท้อง 4 เดือน ร่วมช่วยคนเจ็บ โดนกระบะเสยซ้ำ ดับรวม 4 ศพ เผยหากเห็นไฟสัญญาณของรถกู้ชีพ อยากให้ผู้ใช้รถเข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่าในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ
นายบุญเสริม ศุภศรี รองหัวหน้าแผนกกู้ชีพมูลนิธิร่วมกตัญญู บอกว่า ปกติเจ้าหน้าที่และอาสามูลนิธิกู้ภัยที่ทำงานอยู่ตามจุดต่างๆ จะมีวิธีการปฏิบัติ กรณีมีอุบัติเหตุ ตั้งแต่การนำรถยนต์ เข้าไปจอดและกั้นสถานที่ให้ห่างจากจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะกำหนดระยะที่ชัดเจนไว้ประมาณ 150 เมตร แต่ในการปฏิบัติจริงบนสภาพถนนและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะมีวิธีการกั้นรถโดยใช้กรวย และรถยนต์ของกู้ภัยเองกั้นจุดเกิดเหตุ รวมถึงมีเจ้าหน้าที่คอยโบกรถ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ชีพอีกส่วนหนึ่ง เข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งมักใช้เวลานาน เนื่องจากกฎระเบียบการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุในปัจจุบัน เน้นทำตามขั้นตอนการช่วยเหลือที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
กรณีที่เกิดขึ้นที่จังหวัดลพบุรี ไม่อยากบอกว่าใครผิดใครถูก เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ทราบมาว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 มูลนิธิ ซึ่งรวมถึงอาสามูลนิธิร่วมกตัญญู พยายามช่วยผู้บาดเจ็บ แต่กลับต้องถูกรถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วพุ่งชน โดยอาสากู้ภัยที่เสียชีวิต เข้าร่วมงานจิตอาสาต่างๆ มานานแล้ว ถือเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพซึ่งได้ร่วมงานกันในหลายเหตุการณ์ แต่กลับต้องเสียชีวิตจากการช่วยผู้อื่น หรือเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่
รองหัวหน้าแผนกกู้ชีพมูลนิธิร่วมกตัญญู บอกด้วยว่า ในการทำงานช่วยเหลือผู้บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัย อาจทำให้การจราจรติดขัดบ้าง จึงอยากให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเข้าใจ และหากเห็นการปิดกั้นช่องจราจร มีไฟสัญญาณของรถกู้ชีพ อยากให้เข้าใจว่า เป็นช่วงเวลาที่มีค่าในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุที่บาดเจ็บ ซึ่งต้องแข่งกับเวลา.-สำนักข่าวไทย