กรุงเทพฯ 26
มิ.ย.- เดินหน้าโครงการอีอีซีต่อเนื่อง ล่าสุด ลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น
ป้อนสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มั่นใจ โควิด-19 ไม่กระทบ ด้าน
บี.กริมคุยลูกค้าเฟส 1 เต็มแล้ว เตรียมศึกษา เฟส2ต่อ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นประธาน พิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดิน ราชพัสดุเพื่อประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น
ในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และ บริษัท บี.กริม
เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ‘BGRIM’
เพื่อผลิตไฟฟ้ารวม 95 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยระบบโคเจนเนอเรชั่นใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นเชื้อเพลิง
80 เมกะวัตต์ และระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (PV solar farm ) 15 เมกะวัตต์
รวมทั้งมีระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ (Energy Storage System-ESS) ขนาด 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง เงินลงทุนราว3,800ล้านบาท เริ่มผลิตไฟฟ้าปี2567
เป็นการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) สามารถเลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าหรือมีราคาประหยัด เสริมความมั่นคงด้วยการสำรองไฟฟ้า 100
เปอร์เซ็นต์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และความร้อนที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าได้นำมาเปลี่ยนเป็นระบบน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศสนามบิน
ทำให้มีการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นายคณิศ แสงสุพรรณ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( สกพอ. ) กล่าวว่าการผลิตไฟฟ้า โครงการนี้
เพื่อป้อน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
หนึ่งในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของ เขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออกหรือ อีอีซี
เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น “สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่
3 ของกรุงเทพ” เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ
ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ 3 สนามบิน สามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200
ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
“แม้ขณะนี้เศราฐกิจโลกและอุตสาหกรรมการบินกระทบหนัก
แต่โครงการเมืองการบินจะก่อสร้างเสร็จใน 3-4 ปีข้างหน้า ในขณะที่ผู้เชี่ยววชาญคาดว่า
อุตสาหกรรมการบินจะกลับมาเหมือนเดิม ในปลายปี 64 หรือเร็วสุดกลางปี 64
โครงการนี้จึงไม่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าเมื่อนักท่องเที่ยวกลับ
การเดินทางก็จะเป็นไปตามคาดการณ์เราก็จะขยายโครงการในระยะต่อไป
ซึ่งโรงไฟฟ้าก็จะมีการขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นด้วย”
นายคณิศ
กล่าว
นายฮาราลด์
ลิงค์ ประธานกรรมการ บี.กริม กล่าวว่า กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกับ
สกพอ. ได้คัดเลือก บี.กริม เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ พื้นที่ 100
ไร่ เพื่อดำเนินโครงการ ซึ่ง บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำระดับโลก
นำโดย China Energy Engineering Corporation หรือ Energy
China ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า Hybrid และ Korea Electric Power Corporation หรือ KEPCO จากเกาหลีใต้ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน – ESS
และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ – EMS พร้อมทั้งมี
Siemens จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สนับสนุนเทคโนโลยี Gas
& Steam Turbine ทั้งหมดนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า BGRIM
จะสามารถสร้างระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มั่นคง ทันสมัย
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพสูง เป็นรากฐานต่อการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคหลักที่สำคัญยิ่งต่อการสนับสนุนให้โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าแบบไฮบริด
(Hybrid)แห่งนี้เป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก
บริษัทมีผลตอบแทนประมาณร้อยละ 12 ซึ่งขณะนี้ มีลูกค้าที่ใช้ไฟฟ้าเต็มกำลังผลิตที่วางไว้
และกำลังพิจารณาเฟสต่อไป ว่าจะก่อสร้างกำลังผลิตเท่าใด โดยลูกค้า
ในขณะนี้ประกอบไปด้วยกองทัพเรือ ประมาณ 60 เมกะวัตต์ สนามบินอู่ตะเภา 40 เมกะวัตต์ รถไฟฟ้าเชื่อม3
สนามบิน มีความต้องการไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 20 เมกะวัตต์ /สถานี
ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาจะขอใช้ไฟฟ้าราว 3 สถานี
-สำนักข่าวไทย