กรุงเทพฯ 22 มิ.ย. – บล.ทรีนีตี้ มองกรณี ธปท.ขอความร่วมมือแบงก์งดจ่ายปันผลระหว่างกาล-ซื้อหุ้นคืน กระทบราคาหุ้น 1-2% แต่หากรุนแรงสุดคือกรณีไม่จ่ายปันผลทั้งปี คาดกระทบราคาหุ้นไม่เกิน 11%
นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอให้แบงก์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและงดซื้อหุ้นคืนนั้น เป็นการช่วยรักษาความแข็งแกร่งให้แก่เงินกองทุน มากกว่าจะเป็นความกังวลต่อความเสี่ยงที่เงินกองทุนจะลดลงอย่างรุนแรง จึงมองผลกระทบด้านลบต่อราคาหุ้นจะจำกัดอยู่ในส่วนของปันผล หากจำกัดเฉพาะในส่วนของเงินปันผลระหว่างกาล มองว่า Downside จะอยู่ที่ประมาณ 1-2% สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะจ่ายปันผลระหว่างกาล เช่น BBL, KBANK และ SCB หรือหากธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดจะไม่จ่ายปันผลสำหรับปี 2563 คาดผลกระทบต่อราคาหุ้นรุนแรงสุดจะไม่เกิน 11%
ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารมีความเสี่ยงจากคุณภาพหนี้อยู่แล้วตามสภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก และอาจกระทบต่อกำไรของธนาคาร ซึ่งคาดกำไรปี 2563 ของธนาคารจะอ่อนตัวลงประมาณ 10-20% อย่างไรก็ตาม มองว่าความเสี่ยงดังกล่าวต่อฐานเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ยังต่ำ เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ยังแข็งแกร่ง หากพิจารณาที่สัดส่วน Tier 1 ของธนาคารพาณิชย์ที่ทำการวิเคราะห์เฉลี่ยอยู่ที่ 16% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ 9.5% ค่อนข้างมาก
นายธนภัทร กล่าวว่า ธนาคารจะสามารถรองรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงกว่าปัจจุบัน โดยเฉลี่ยประมาณ 4 เท่า จึงจะกระทบทำให้เงินกองทุนลดลง และ NPL ต้องสูงขึ้นจากปัจจุบันถึงประมาณ 8.2 เท่า จึงจะมีความเสี่ยงที่จะต้องเพิ่มทุน ดังนั้น จึงมองประเด็นที่ ธปท.ขอความร่วมมือจากธนาคารให้งดจ่ายปันผลระหว่างกาลและงดซื้อหุ้นคืนจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในเชิงจิตวิทยา แต่ผลกระทบจะจำกัดแค่ในส่วนปันผล อย่างไรก็ตาม มองผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีของกลุ่มธนาคารยังมีปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งจาก NIM ที่จะอ่อนตัวลง และคุณภาพหนี้ที่อาจแย่ลง จึงยังคงกลยุทธ์ Selective Buy โดยให้ BBL (TP 158 บาท) เป็น Top-pick เนื่องจากลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน บวกกับ Valuation ที่ยังถูกกว่าในเชิงเปรียบเทียบ.-สำนักข่าวไทย