รัฐสภา 18 ก.ย.- “กมธ.พัฒนาการเมืองฯ” นัด 3 พรรคการเมืองส่งการบ้านเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ด้าน”ภูมิใจไทย” ไร้ส่งตัวแทนอ้างติดธุระ ขณะที่ “พริษฐ์” ชูโมเดล 2 คณะ รัฐสภาคัดคณะผู้ร่างฯ ตามสัดส่วน สส. – สว. สกัดพวกลากมากไป ส่วน “จาตุรนต์” บอก พท.คาดเสนอร่างฯ ได้สัปดาห์หน้า ถามจะมีคนขวางอีกหรือไม่ ทำประชามติคนเห็นชอบแล้วอย่างไรต่อ ด้าน “ภาคประชาชนฯ” คัดค้าน สว.ร่วมคัดกรอง ส.ส.ร. เหตุไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน
การประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร มีวาระหารือแนวทางการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังมีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีนายฉัตร สุภัทรวณิชย์ สส.นครราชสีมา พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. เป็นประธานการประชุม
โดยมีการเชิญ 3 ตัวแทนพรรคการเมือง ได้แก่ พรรคประชาชน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค ในฐานะกรรมาธิการฯ พรรคเพื่อไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ และพรรคภูมิใจไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง
นอกจากนี้ยังมีการหารือกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา (สว.) นายประภาส ปิ่นตบแต่ง สว. และนายพรชัย วิทยเลิศพันธุ์ สว. รวมถึงภาคประชาชน iLaw และ Conforall สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เข้าร่วม
โดยบรรยากาศการประชุมในวันนี้ (18 ก.ย.) เป็นไปด้วยความตึงเครียดน้อยกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากแต่ละภาคส่วนมีแนวทาง แผน และไทม์ไลน์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งระหว่างการประชุมนายพริษฐ์ และนายจาตุรนต์ ได้พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง และอธิบายของแต่ละฝ่ายให้อีกคนฟัง
โดยช่วงหนึ่ง นายพริษฐ์ เปิดเผยว่า ตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทย คือ นายภราดร ปริศนานันทกลุ สส.อ่างทอง แจ้งว่าติดธุระ จึงไม่สามารถมาได้ แต่ได้เตรียมเสนอร่างแก้ไขหมวด 15 ในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้อธิบายโมเดลคร่าวๆ ให้ตนฟังแล้ว แต่คงไม่เหมาะสมหากตนจะเป็นผู้นำเสนอแทน
ทั้งนี้นายพริษฐ์ ได้เสนอกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกระบวนการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 พร้อมย้ำว่า จุดยืนของพรรคประชาชน ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการตอบเกินคำถาม และปิดกั้นกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนโดยตรง จึงต้องออกแบบกลไกให้ประชาชนยังคงมีส่วนร่วม นำมาสู่ข้อเสนอโมเดล 2 คณะ ประกอบด้วย
- กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือคณะผู้ร่าง ซึ่งมีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอต่อรัฐสภา มีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 70 คน
โดยผู้สมัครเข้ามาเป็นทีม ทีมละไม่เกิน 70 คน เรียงลำดับเหมือน สส. แบบบัญชีรายชื่อ ประชาชนสามารถเลือกได้ 1 ทีม และนำมาคำนวณว่าผู้ใดเข้ารอบจากแต่ละทีม จากนั้นนำรายชื่อส่งให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน โดยรัฐสภาแบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เนื่องจากหากคัดเลือกโดยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง อาจเปิดช่องให้บางกลุ่มการเมืองผูกขาดการเลือกได้
- สภาที่ปรึกษา หรือคณะผู้แทนประชาชน มีหน้าที่เป็นเจ้าภาพรวบรวมและสะท้อนความเห็นจากประชาชน เพื่อเสนอต่อคณะผู้ยกร่าง และรายงานความคืบหน้าต่อประชาชน โดยมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง จำนวน 100 คน ผู้สมัครตัวแทนจังหวัดอย่างน้อย 1 คน มากสุดจังหวัดละไม่เกิน 5 คน
สำหรับกระบวนการเลือกทั้ง 2 คณะ จะเข้าคูหาเลือกตั้งวันเดียวกัน มีบัตร 2 ใบ คล้ายกับการเลือก สส.แบบแบ่งเขต และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อทั้ง 2 คณะทำงานร่วมกันเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วเพื่อเสนอต่อรัฐสภา อาจเพิ่มกลไกว่าหากรัฐสภาไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อาจร้องขอให้เริ่มกระบวนการให้ทั้งหมด ตั้งแต่การเข้าคูหาเพื่อเลือกทั้ง 2 คณะได้
นายพริษฐ์ ยังระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และหลังจากการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายในวันนี้แล้ว ก็จะนำมาประกอบการยกร่าง เพื่อให้นำเสนอต่อรัฐสภาได้โดยเร็ว
ด้านนายจาตุรนต์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้ประชุมไปเมื่อวันอังคารที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา แล้วจะมีการประชุมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ( 19 ก.ย.) คาดว่าจะร่างภายในสัปดาห์หน้า ในการเสนอนี้ เราเสนอเรื่องกระบวนการจัดทำรัฐฉบับใหม่ ซึ่งไม่ใช่การเริ่มทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ส่วนจะให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างไร ต้องเป็นรายละเอียดที่พิจารณาต่อไป ซึ่งสาระเกี่ยวกับวิธีการในกระบวนการก็คือเรื่อง สสร.โดยตนมองว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเองที่มีแต่เดิม ว่าประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ
นายจาตุรนต์ ยังกล่าวว่า การวินิจฉัยครั้งนี้ เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะตอบมา มันก็จำเป็นที่จะไม่อาจไม่ปฏิบัติตามได้
“ที่คิดได้ตอนนี้คือ สสร.ทั้งหมดประมาณ 140 คน 200 คนมาจากการที่ประชาชนในแต่ละจังหวัดเลือกตั้งกันมาให้ได้ แล้วรัฐสภามาคัดให้เหลือ 100 คน โดยการคัด 100 คนนั้น แต่ละจังหวัดจะต้องมีตัวแทนอย่างน้อย 1 คน ส่วนอีก 40 คน มาจากภาควิชาการ ทั้งคณะนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ตัวแทนองค์กรภาคประชาชน ตัวแทนวิชาชีพ ซึ่งต้องหาวิธีให้ได้มาซึ่งตัวแทนเหล่านี้ โดยที่คงจะต้องหลีกเลี่ยงการให้เลือกไขว้กันเป็นต้น” นายจาตุรนต์ กล่าว
นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เมื่อ ได้ผู้ที่จะมาเป็น สสร.ประมาณ 140 คนแล้วก็ไปเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างกันเอง จากนั้น เข้าสู่ สสร. ซึ่ง สสร. จะไปรับฟังความเห็น เสร็จแล้วส่งมาให้รัฐสภาพิจารณา และอาจจะมีการให้รัฐสภาให้ความเห็นรอบหนึ่ง เพื่อให้ สส. กลับไปพิจารณาทบทวน
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (19 ก.ย.) เราจะพิจารณากันอีกครั้ง อย่างช้าที่สุดถ้าจะเป็นที่ยุติ จะไม่เกินวันที่ 23-24 ก.ย. นี้ เพื่อให้เสนอได้ในปลายสัปดาห์หน้า
ขณะที่ตัวแทนเครือข่ายประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ หรือ Conforall กล่าวว่า เรายืนยันว่า คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นเพียงแค่ฉบับย่อ ยังไม่เห็นคําวินิจฉัยฉบับเต็ม ว่าถูกตีความว่าอย่างไร ทําให้สร้างภาวะ dilemma หรือ ภาวะเขาควายเท่ากับว่า รัฐสภากําลังเป็นประจักษ์พยานว่า ศาลรัฐธรรมนูญกําลังทําเกินอํานาจหน้าที่ที่ท่านมี เพราะท่านไม่มีอํานาจกําหนดว่า ที่มา สสร. จะเป็นอย่างไร เพราะอํานาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีอํานาจในการวินิจฉัยประเด็นที่ผู้ร้องไม่ได้ถามด้วย
แม้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ก้าวล่วงในการบอกว่า สสร.มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ แต่เพียงตอบคําถามตามหมวด 15 ที่มีอยู่เดิม ซึ่งทําให้เลือก สสร.ไม่ได้ ดังนั้น จึงสามารถเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อทำให้ สสร.มาจากการเลือกตั้งได้
ข้อเสนอเบื้องต้น จึงมองว่า อะไรที่ทำให้ชัดเจนได้ควรทำเลย คือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ที่รัฐบาลสามารถพูดได้ว่า มีกระบวนการอย่างไร ทั้งจํานวนครั้งในการทำประชามติ คําถามประชามติ และกรอบเวลาในการดําเนินการ
ส่วนฝ่ายรัฐสภา เมื่อเรายังไม่ได้ข้อยุติ ก็ไม่ควรจะตีกรอบ หรือจํากัดอํานาจไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ขั้นต่ำที่สุดในการเสนอร่างแก้ไขมาตรา 256 ที่จะมีการเสนอนั้น ในชั้นหลักการ ควรเปิดกว้างให้ไปสู่การเลือกตั้ง สสร.ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม และแต่ละร่างของที่พรรคการเมืองเสนอ ก็ไม่ควรจะปิดประตู รวมถึงควรเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คําวินิจฉัยฉบับเต็ม เพื่อให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
นอกจากนั้น ยังมีการนําเสนอกรอบของการออกแบบการจัดทํารัฐธรรมนูญ ซึ่งควรมีหลักคิด 4D คือ Democracy เป็นประชาธิปไตยยึดโยงประชาชน Diversity (inclusive) หลากหลายครอบคลุม Deliberate มีส่วนร่วมแบบถกแถลง Delivery ส่งมอบได้จริง
โดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ คือทำให้ประชาชนอยู่ตั้งแต่ต้นน้ำ คือการเลือกผู้ร่าง กลางน้ำ คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการถกแถลง และปลายน้ำ คือการออกเสียงประชามติ
ข้อเสนอเบื้องต้นนี้ อาจเป็นความบังเอิญที่ได้นำเนื้อหาของพรรคประชาชนมาอย่างละนิด และนำของพรรคเพื่อไทยมาอย่างละหน่อย คือให้ประชาชนเลือกตัวแทนทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งให้ประชาชนเลือกตั้งมาทั้งคู่ ด้วยระบบที่ต่างกัน คือการเลือกระดับประเทศ โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อเอื้อแนวคิด และนโยบายที่หลากหลาย มากกว่าการเลือกตามพื้นที่ รวมถึงเพิ่มการเลือกตัวแทนระดับจังหวัด เพื่อถ่วงดุล
หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตัวเต็มยืนยันว่า ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงไม่ได้ ก็ให้ สสร. เลือกกันเองมาจำนวนหนึ่ง แล้วให้รัฐสภาเห็นชอบ เพื่อตั้งกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง สสร. ยังมีหน้าที่ตรวจสอบ และกำกับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่ ก่อนจะนำร่างที่จัดทำแล้วมาเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำไปสู่การจัดทำประชามติ
จากนั้น นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กล่าวว่า ตนยังมีความกังวลว่า หากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มออกมา จะทำให้สิ่งที่เสนอมาติดขัดหรือไม่ เป็นสิ่งที่ดีที่ขณะนี้ เรากำลังเสนอแนวทาง เพื่อสะท้อนความคิดเห็น แต่มองว่าก่อนที่จะเสนออย่างเป็นทางการ ควรจะรอคำวินิจฉัยเต็มก่อน
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การเลือก สสร.ทางอ้อม โดยการเลือก สสร. แล้วมาคัดเลือกอีกทีหนึ่ง เป็นทางเลือกที่ดี และเป็นทางที่จะไปได้ อย่างไรก็ตาม โมเดลที่เสนอให้รัฐสภาเป็นผู้คัดเลือก สสร.นั้น ตนยืนยันว่า ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ สว.มีอำนาจในการคัดเลือก สสร. เท่ากับ สส.
ด้านนายวีรยุทธ สร้อยทอง สว. เปิดเผยว่า วุฒิสภาได้จัดทำรายงานเรื่อง สสร. จากการลงพื้นที่รับฟังจากแต่ละภูมิภาค ซึ่งพบว่า ทั้งภาคประชาสังคม นักวิชาการ นักเรียนนักศึกษา มีความเห็นตรงกันว่าต้องการเลือก สสร. โดยตรง 100% แต่เนื่องจากมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงพยายามหาโมเดลใหม่ ซึ่งยังไม่เป็นมติของกรรมาธิการอย่างเป็นทางการ แต่โดยหลักการยังหวังให้ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งยังหวังว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับจริงยังพอมีช่องทาง
แนวคิดของโมเดลจากฝ่าย สว. เห็นด้วยกับ ConforAll และ iLaw ว่าความชอบธรรมของรัฐสภาไม่เท่ากัน แต่ตามความเป็นจริง ก็ต้องพยายามทำให้ง่ายที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ยึดโยง และมีความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง จึงมีหลักการเดิน 2 ขา บันได 2 ขั้น โดยแบ่งเป็นการเลือกตั้งระดับจังหวัด แบบแบ่งเขต 200 คน และการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ให้จัดทีมมาไม่เกิน 200 คน โดยสรรหาบุคคลที่ได้คะแนนสูงสุด 200 คน จากนั้นนำรายชื่อให้รัฐสภาคัดเลือกอีกครั้งให้เหลือ 100 คน
ขณะที่ตัวแทนสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ เห็นว่า หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แต่ละพรรคที่เสนอมายังไม่สะเด็ดน้ำนั้น ทางออกที่หนึ่ง อาจจะต้องทำโดย ครม. โดยใช้มาตรา 9 (2) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพราะว่าถ้ารอให้สภาสะเด็ดน้ำ วาระ 2-3 อาจจะไม่เกิดขึ้น ทำให้การถามคำถาม 1 ก็อาจจะล่วงพ้นเวลาที่เหมาะสมไป
อีกแนวทางนึง การที่นำเสนอเรื่อง สสร.ของพรรคประชาชนที่แบ่งเป็น 35 คน และ 70 คนนั้น ในส่วนของ 70 คน ถ้ายังไม่ได้ข้อยุติว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรงนั้น ประเด็นนี้ก็อาจถูกตีความว่า 70 คนนั้น เป็นการเลือกโดยตรงจากประชาชน อีกก็เป็นไปได้
ส่วนเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม ยังไม่ได้ดูว่า จะสามารถที่จะมีการเร่งรัดได้หรือไม่ แต่โดยปกติก็คงจะไม่ไม่สามารถที่จะดำเนินการแบบนั้นได้
สำหรับกรณีที่ Conforall ระบุ ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว จะแยกการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภานั้น ส่วนตัวมองว่า อาจจะทำได้ยากหรือไม่ เพราะการแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 15/1 ต้องกระทำโดยรัฐสภา การประชุมแยกกันหรือร่วมกันย่อมเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดว่า กรณีไหนประชุมร่วม กรณีไหนประชุมแยก และการจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นกรณีที่ต้องประชุมร่วมกันของรัฐสภา
ขณะที่ประเด็นคนเสนอร่างรัฐธรรมนูญ จะสามารถเสนอ 2 ร่างได้หรือไม่นั้น ได้สอบถามทางฝ่ายปฏิบัติแล้วว่า สามารถที่จะเสนอได้ แต่ไม่ใช่ว่า 100 คนเสนอตามหลักการร่างหนึ่ง แต่อีก 100 คนที่ใช้ชื่อเดียวกันนั้นไปเสนออีกร่างหนึ่งอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าทำเหลื่อมกันได้
ด้านผู้แทน กกต. กล่าวว่า เราพร้อมกำหนดกติกา เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมย์ของท่าน และหากต้องไปจัดในวันเลือกตั้ง สส. เราได้มีการยกร่าง ออกแบบกระบวนการว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เป็นภาระของประชาชน เช่น กระบวนการลงคะแนน ก็จะเชื่อมต่อกับการทำประชามติในหน่วยเดียวกัน ทุกอย่างจะจบในหน่วยเดียวกัน ซึ่งมีข้อดีตรงที่ว่า เงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเหมือนกัน ต่างจากการเลือกตั้งท้องถิ่น ดังนั้น กระบวนการไม่น่าจะมีปัญหา
นายจาตุรนต์ ตั้งข้อสังเกตอีกว่า สิ่งที่นายพริษฐ์สรุปไว้ ตนก็คิดว่าสอดคล้องกัน และควรพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ คุยกันข้ามพรรคข้ามฝ่าย แต่สุดท้ายคงไม่ใช่การเลือกกันเอง คนยกร่างต้องมีกำลังส่วนสำคัญ เช่น มีความรู้ความสามารถด้านนิติศาสตร์ เราอยากเห็นการแลกเปลี่ยนมากกว่าพยายามให้เลือกไปทางใดทางหนึ่ง ประเด็นต้องคิดมีอยู่ คือ ให้ทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง ก็ให้ ครม.เสนอ ผลทางรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร หากทำประชามติ ประชาชนเห็นชอบแล้วอย่างไรต่อ
“ถ้ามีคนมาขวางอีกว่าเอาอะไรมายืนยัน ไม่มีที่ไหนในรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีบัญญัติตรงไหนอยู่ในรัฐธรรมนูญว่า วันหนึ่งคณะรัฐมนตรีจะให้มีการทำประชามติ ว่ามีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และประชาชนให้ความชอบ เป็นอันว่าการรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้หรือไม่ มันไม่มีเขตตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าคิดมากไปหรือเปล่า แต่เราไม่คิดทีไร ก็จะมักจะเกิดเรื่องที่ทำให้คิดมากกว่านั้น เช่น คำวินิจฉัยที่ทำให้เกินมา” นายจาตุรนต์ กล่าว
ทำให้ตัวแทนสำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ให้ความเห็นอีกว่า กรณีหากให้คณะรัฐมนตรีมีมติ เรื่องการทําประชามติ สามารถให้นายกรัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดได้ ซึ่งตามที่ได้หารือ กกต. เรื่องระยะเวลาคาดว่า เป็น 90 วัน ไม่เกิน 120 วัน แต่ถ้า พ.ร.บ.ฉบับใหม่ลงมา ก็คือ 60 วัน หรือ 150 วัน ซึ่งสามารถกําหนดวันออกเสียงวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ ย้ําว่าหากมีคนตีความในเรื่องดังกล่าว ก็มิใช่เรื่องที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ .-316 -สำนักข่าวไทย