นายกรัฐมนตรีชี้แจงที่ประชุมสภาฯ วันแรก (27 พ.ค.63)

สำนักข่าวไทย 27 พ.ค. 63 – พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจง เรื่อง ชง พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ต่อสภาผู้แทนราษฎรจะเพื่อพิจารณาในการประชุมวันนี้ (27 พ.ค. 63)


พ.ร.ก. เงินกู้ 3 ฉบับ (นายกรัฐมนตรีฯ แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 27 พ.ค.63)


    ตามที่ครม.มีมติ เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 63 เห็นชอบให้มีการตรา พ.ร.ก. ให้กระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ซึ่ง พ.ร.ก. นี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 63


เหตุผลและความจำเป็น


– ปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรงทั่วโลกรวมประเทศไทย และองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้เป็นภาวะการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งโรคโควิด-19 ดังกล่าวนั้นเป็นโรคอุบัติใหม่ ทางการแพทย์ยังไม่มียารักษาและวัคซีนป้องกัน ส่งผลให้ผุ้ติดเชื้อทั่วโลกและภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถจะคาดการณ์ระยะเวลาที่แพร่ระบาดจะสิ้นสุดลงได้ สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง

– มาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของรัฐบาลและประเทศอื่น ๆ อาทิ มาตรการปิดพื้นที่ เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายคน มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมของเศรษฐกิจทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลันทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2563 โดยในไตรมาสแรกเศรษฐไทย ปรับตัวลดลง ติดลบ ร้อยละ 1.8 ถือเป็นการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจไทย ครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2557 ทั้งนี้ภาคบริการโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2563 จากมาตรการควบคุมการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ในไตรมาส 1 ปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลงร้อยละ 38.01 จากไตรมาส 1 ปี 2562 ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยว 332,013 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 40.39

– จากนั้นในการแพร่ระบาดภายในประเทศที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อในเดือนมกราคม 2563 และมีการระบาดหนักขึ้น ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2563 ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายคนและมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยการปิดสถานประกอบการณ์ สถานบริการต่าง ๆ รวมถึงสนามบิน เพื่อต้องการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างเป็นขั้นตอน จากการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของประชาชนในทุกสาขาอาชีพ จากการคาดการณ์ผลกระทบต่อรายได้ของประเทศไทยในปี 2563 ลดลงถึง 9.28 แสนล้านบาท และคนว่างงานอาจจะสูงนับล้านคน โดยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย หรือ GDP ปี 2563 ติดลบ ร้อยละ 5.0-6.0 โดยภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก ได้แก่

1. ภาคการค้าระหว่างประเทศ ที่เกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมและประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ จีน อินเดีย และเกาหลีใต้

2. ภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะปรับตัวลดลงรุนแรงมากขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก จากการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดของโรคอย่างเข้มข้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม

แม้ว่าการแก้ไขวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รัฐบาลได้พยายามทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ทั้ง งบปี 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และการจัดทำ พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายปี 2563 แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และไม่ทันกับสถานการณ์ที่จะยุติการระบาดของโรค ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกภาคส่วนได้

    ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อของประเทศให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขสถานการณ์และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความพร้อมด้านสาธารณสุขของประเทศ เพื่อรองรับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น การเยียวยาประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ จากมาตรการยับยั้งและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการฟื้นฟุ้สภาพเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาดสิ้นสุด จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และเป็นทางเลือกสุดท้ายของรัฐบาลในการตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท

1. เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมประมาณหนึ่งล้านล้านบาท ซึ่งไม่อาจดำเนินการได้มาโดยวิธีการปกติจึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

2. เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ

กรอบวินัยเงินกู้

การรักษาวินัยทางการเงิน การคลัง ความคุ้มค่า และความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินกู้ สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยทางการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อเป็นกรอบวินัยในการกู้เงินไว้ในกฎหมายฉบับนี้ สรุปได้ดังนี้ 

1. อำนาจการกู้เงินของกระทรวงการคลัง

– วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท

– ระยะเวลา ต้องลงนามในสัญญาเงินกู้หฟรือออกตราสารหนี้ ไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 64

2. การใช้จ่ายเงินกู้ จะต้องใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานโครงการตามบัญชีท้ายพระราชกำหนด ซึ่งประกอบด้วย 3 แผนงานหลัก ได้แก่

– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท

– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 555,000 ล้านบาท

– แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 400,000 ล้านบาท

*ในกรณีจำเป็นคณะรัฐมนตรีสามารถอนุมัติปรับกรอบวงเงินภายใต้แผนงาน/โครงการได้ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินสอดคล้องกับสถานการณ์

3. การพิจารณากลั่นกรองและอนุมัติโครงการ แต่งตั้ง “คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้” เพื่อทำหน้าที่ ดังนี้

– พิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการก่อนเสนอ ครม.อนุมัติ

– กำกับดูแลการดำเนินโครงการ

– รายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรี

4. การดำเนินแผนงาน/โครงการ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เป็นไปตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้

ปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดกระบวนการพิจารณากลั่นกรอง และอนุมัติโครงการ ตลอดจนขั้นตอนการบริหารจัดการโครงการเรียบร้อยแล้ว

5. เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้

พ.ร.ก. ได้กำหนดให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. เสนอต่อรัฐบาลเพื่อทราบภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งรายงานดังกล่าวจะระบุรายละเอียดการกู้เงิน, วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้, ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับ

มาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19

ระยะที่ 1 และ 2 เป็นการช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของปะชาชน ดังนี้

– พักชำระหนี้ประชาชน

– มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการ

– ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง

– การลดค่าน้ำค่าไฟ

– การขยายเวลาชำระค่าน้ำค่าไฟ

– การคืนเงินประกันค่าใช้ไฟฟ้า 

– การชะลอการจ่ายภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล

– การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ

– มาตรการชดเชยรายได้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ

ระยะที่ 3 เป็นมาตรการดูแลเยียวยาผละกระทบ

– มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank)

– ตราพระราชกำหนด 3 ฉบับ 

มาตรการดูแลและเยียวยา ระยะที่ 3 (ครอบคลุม 4 มิติ)

1. มิติด้านสาธารณสุข

รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เป็นลำดับแรก พ.ร.ก. กู้เงิน เพื่อด้านสาธารณสุข เป็นค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท

2. มิติด้านสภาพคล่อง 

เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มภาพคล่องให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ประกอบการ เป็น พ.ร.ก.กู้เงิน (เพื่อเยียวยา) วงเงิน 555,000 ล้านบาท และ พ.ร.ก. Soft Loan สำหรับ SMEs

3. มิติด้านการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

เนื่องจากเสถียรภาพของระบบการเงินเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในช่วงวิกฤติ โดย พ.ร.ก.BSF สำหรับรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมันในตลาดตราสารหนี้ เพื่อให้สามารถยังคงทำหน้าที่เป็น “แหล่งระดมทุน” ที่สำคัญของประเทศรองลงมาจากธนาคารพาณิชย์

4. มิติด้านการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาด

เมื่อวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพราะหากล่าช้า ความเสียหายและผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้น

พ.ร.ก.กู้เงิน (เพื่อฟื้นฟู) ได้กำหนดวงเงินไว้ 400,000 ล้านบาท เน้นเศรษฐกิจและสังคม (New Normal)

1) เน้นสาขาเศรษฐกิจที่มีความได้เปรียบและมีโอกาสสร้างการเติบโต เช่น

– เกษตรอัจฉริยะ

– เกษตรมูลค่าสูง

– เกษตรแปรรูป

– อุตสาหกรรมอาหาร Bio-Economy

– การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน

– อุตสาหากรรมการให้บริการ

– เศรษฐกิจสร้างสรรค์

2) มุ่งเน้นให้เกิดการสร้างงานและสร้างอาชีพของเศรษฐกิจฐานราก

– กระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน

– พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

– เตรียมความพร้อมของประเทศเพื่อรองรับการใช้วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ภายหลังวิกฤติการระบาดของโควิด-19

ผลกระทบต่อสถานะหนี้สาธารณะและการวางแผนการกู้เงินของรัฐบาล

การกู้เงินของรัฐบาลในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ เมื่อรวมกับการกู้เงินกรณีอื่น ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 เป็น ร้อยละ 57.96 ซึ่งกรอบบริหารหนี้สาธารณะไม่เกิน ร้อยละ 60

แหล่งที่มาของเงินกู้ (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ)

รัฐบาลจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็จะพิจารณาเงื่อนไขและกระตุ้นการกู้เงินจากแหล่งกู้เงินต่างประเทศอีกทางหนึ่ง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรอง หากสภาพคล่องในประเทศไม่เพียงพอด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับปริมาณเงินในระบบของตลาดการเงินภายในประเทศ (Crowding out Effect)

แนวทางการใช้จ่ายเงินกู้

1. กำหนดกระบวนการกลั่นกรองโครงการผ่านกลไกของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้

2. ต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์

3. อยุ่ภายใต้แผนงาน/โครงการที่กำหนดตามบัญชีท้าย พ.ร.ก. เท่านั้น

4. ต้องมีการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมและความคุ้มค่าของโครงการ, ความจำเป็นเร่งด่วน, ไม่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณ และหน่วยงานมีความพร้อมดำเนินการได้ทันที.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ไทยตอนบนมีฝนน้อย คลื่นลมมีกำลังอ่อน

กทม. 2 ส.ค.-กรมอุตุฯ รายงานไทยตอนบนมีฝนน้อย คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 20% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน และตากอุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ […]

เปิดข้อเสนอสุดท้าย ทีมไทยแลนด์ ต่อรอง “ทรัมป์”

1 ส.ค. – เปิด 10 ข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลภาษีนำเข้าในอัตรา 19% จากที่ก่อนหน้านี้ถูกขู่ว่าจะเก็บสูงถึง 36% นอกจากตัวเลขภาษีนำเข้า สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนต้องการรู้ นั่นก็คือข้อเสนอของทีมไทยแลนด์ ที่นำไปต่อรองกับสหรัฐ จนนำไปสู่การปิดดีลที่ 19% โดยสิ่งที่ไทยยอมแลก 10 ข้อหลักมีดังนี้ เรียกว่า ไทยยอมแลกหลายมิติ ทั้งเปิดตลาดให้สหรัฐ มากขึ้น ยกเว้นภาษีเกือบหมด, เพิ่มการนำเข้า, และร่วมมือด้านความมั่นคง แลกกับการที่ “ภาษีตอบแทน” ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19%.-สำนักข่าวไทย

เคลียร์ BM21 หมู่บ้านกระสุนตก 5 ลูก อ.น้ำยืน อุบลฯ

อุบลราชานี 1 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และทำงานไม่สมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดทำลายหัวกระสุน BM21 ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาตกในหมู่บ้านชายแดน ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ใน 8 หมู่บ้าน 24 จุด พบกระสุน BM21 ทั้งหมด 5 ลูก มีทั้งที่ยังไม่ระเบิด และพร้อมทำงาน โดยในช่วงเช้าทำลาย 3 จุด จุดแรกอยู่บริเวณริมถนนสายน้ำยืน นาจะหลวย เจ้าหน้าที่ต้องปิดถนนทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนขุดดินด้านบนแล้วหย่อนระเบิด C4 ลงไปในหลุมที่หัวกระสุน BM21 ตกแต่ไม่ระเบิด จากนั้นจึงจุดชนวนทำลายระเบิด ใช้เวลาเพียง 20 นาที หัวกระสุนถูกทำลายโดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ จุดที่ […]

ทูตทหาร 23 ประเทศ ลงพื้นที่จุดกัมพูชายิงถล่ม

ศรีสะเกษ 1 ส.ค. – วันนี้คณะทูตานุทูตและทูตทหาร รวม 23 ประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในพื้นที่ถูกกัมพูชาโจมตี และศูนย์พักพิง การลงพื้นที่ในวันนี้ทางประเทศไทยต้องการให้คณะทูตทั้ง 23 ประเทศได้เห็นข้อเท็จจริงและนำไปเผยแพร่ให้ประชาคมโลกได้รับรู้ จุดแรกคือปั๊ม ปตท.บ้านผือ ที่ถูกกัมพูชายิงจรวด BM21 โดยนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ บรรยายสรุปให้คณะได้รับฟังถึงเหตุการณ์วันแรกที่เกิดขึ้นและเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีญาติผู้สูญเสียนำรูปผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว บอกเล่าเหตุการณ์ความสูญเสียจากที่เกิดขึ้นต่อคณะทูตานุทูตผ่านล่าม พร้อมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตที่ผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จากนั้นคณะทูตทหาร เดินทางลงพื้นที่ ต่อไปยังจุดกระสุนตกใส่พลเรือน ที่อาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลชำเม็ง อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ส่งผลทำให้อาคาร รพ.สต. เสียหาย ที่นี่ ยังมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีเด็กเล็กอยู่ประจำกว่า 30 คน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากทางจังหวัดได้ประกาศให้ชาวบ้านอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงชั่วคราว ตั้งแต่ 24 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่ทางทหารกัมพูชาเปิดฉากยิง โดยนางเข็มจิรา จันทร์ทอง ผอ.รพ.สต.บ้านชำเม็ง บอกว่าถ้าวันนั้น หากยังไม่มีการอพยพ […]