กรุงเทพฯ 19 พ.ค. – จีซีพร้อมให้ความร่วมมือ WFH ต่อเนื่อง และปรับแผนลงทุน พร้อมรับ NEW NORMAL ชะลอลงทุนทั้งอีอีซีและสหรัฐ หลายแสนล้านบาท พร้อมกู้เงิน-ออกหุ้นกู้ปีนี้ 4.5 หมื่นล้านบาท เสริมสภาพคล่อง
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล หรือจีซี เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะดีขึ้น แต่เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนมาป้องกัน ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงของทั้งสังคมและพนักงาน ทางจีซีจะยังคงใช้นโยบายการทำงานที่บ้าน หรือ WFH ต่อเนื่องไปอย่างน้อยกว่า 1 ปี ประมาณ 2 /3 ของพนักงานทั้งหมดกว่า 5,000 คน จากที่ขณะนี้พนักงาน WFH ประมาณร้อยละ 90 และจากที่เศรษฐกิจหดตัวทั่วโลก ทางจีซีก็ได้ทบทวนโครงการลงทุนใหม่ ๆ ทั้งโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการใหม่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ออกไปก่อน โดยพิจารณาถึงความต้องการใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปตาม NEW NORMAL ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินใจเร็วสุดได้ภายในปีหน้า จากเดิมที่จะมีการตัดสินใจในครึ่งหลังของปีนี้
“ทั่วโลกประเมินว่าเศรษฐกิจที่หดตัวจะกลับมาฟื้นตัวเท่าเดิมใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ดังนั้น โครงการลงทุนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอีอีซีอีก 100,000 ล้านบาท และปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์สหรัฐก็ต้องทบทวน โดยดูถึงความต้องการของตลาด ทิศทางของโลกในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากมีการขายกิจการที่ดีและต้นทุนเหมาะสมออกมาทางบริษัทก็พร้อมจะเข้าซื้อกิจการ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาอยู่บ้างแล้ว” นายคงกระพัน กล่าว
ขณะเดียวกันเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ทางบริษัทได้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทั่วไปปีนี้ลงประมาณ 1,000 ล้านบาท มีการกู้เงินจาก 3 ธนาคารในประเทศ และออกหุ้นกู้ไปแล้ว เมื่อเดือนเมษายน 15,000 ล้านบาท ขณะที่มีเงินสดในมือ 23,000 ล้านบาท และเตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น เพื่อออกหุ้นกู้ประมาณ 4,000 ล้านเหรียญ หรือ 128,000 ล้านบาท เพื่อใช้ทั้งการลงทุน การเสริมสภาพคล่องและรีไฟแนนซ์ เงินกู้ ภายใน 5 ปีนี้ (2563-2567)
ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันขยับขึ้นและความต้องการใช้พลาสติกทั่วโลกดีขึ้น หลังคลายล็อกดาวน์ทั่วโลก ก็คาดว่าผลประกอบการไตรมาสต่อไปปีนี้จะดีขึ้น จากไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท จากการขาดทุนสตอกน้ำมันกว่า 8,906 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกำลังผลิตของจีซีทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไม่ได้ลดกำลังผลิตลงแต่อย่างใด แม้ความต้องการใช้น้ำมันจะลดลง ทั่วโลกมีการลดกำลังผลิตทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมี และภาพรวมปี 2563 บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายเติบโต 7-10% เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งไม่มีการปิดซ่อมบำรุงเหมือนปีก่อน
ทั้งนี้ โรงงานของจีซีทั้งเครือ 29 โรง เป็นโรงงานครบวงจร มีความยืดหยุ่นสูง จึงมีการปรับเปลี่ยนกำลังผลิตให้สอดคล้องกับตลาด เปลี่ยนการผลิตน้ำมันเครื่องบินมาเป็นดีเซลและปิโตรเคมีที่มีความต้องการสูงในช่วงโควิด-19 ระบาด โดยมีการผลิตภันฑ์ทางการแพทย์และบรรจุภัณฑ์อาหารต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่โครงการที่กำลังก่อสร้างในอีอีซี 3 โครงการ ประมาณ 100,000 ล้านบาท จะเสร็จตามแผนปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้ต้นทุนลดลงและมีโอกาสแข่งขันได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ 3. โครงการโพลีออลส์ (Polyols)
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการร่วมมือกับบริษัทคู่ค้า หน่วยงานทางการแพทย์ในพัฒนานวัตกรรม ทางการแพทย์ใช้เองในประเทศ ช่วยลดต้นทุนและช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลน ซึ่งทางบริษัทก็จะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป .-สำนักข่าวไทย