กรุงเทพฯ 8 พ.ค. – คณะที่ปรึกษาฯ ศบค.เร่งสรุปแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยพร้อมให้ข้อเสนอแนะเรื่องเร่งด่วนในช่วง 1-3 เดือนจากนี้ไป แนะออกมาตรการบังคับให้ประชาชนปฏิบัติพร้อมมีบทลงโทษหากฝ่าฝืน
ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แถลงภายหลังการประชุมว่า หลังจากตั้งคณะกรรมการฯ ประมาณ 1 สัปดาห์ ประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และการประชุมวันนี้ (8 พ.ค.) ได้เชิญกรมควบคุมโรคมาให้ข้อมูลสถานการณ์ผลกระทบจากการระบาดและทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจมหภาค
ส่วนการประชุมครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นวันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้เชิญนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ว่า จะสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยดูแลสถานการณ์ได้อย่างไรบ้าง
ศ.นพ.จรัส กล่าวว่า อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลทุกด้านและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน แต่ยังระบุชัดเจนไม่ได้ว่าจะให้ข้อเสนอแนะกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เมื่อใด หากมีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นก็จะให้ข้อเสนอแนะได้รวดเร็ว และในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้าน่าจะมีคำตอบ ส่วนข้อเสนอแนะหลังจากประเทศไทยผ่านพ้นสถานการณ์แพร่ะระบาดของโรคไปแล้วหรือ 2 ปีข้างหน้า คำตอบที่จะให้กับรัฐบาลควรจะเป็นอย่างไร จะเป็นคำตอบใหญ่ที่จะได้จัดทำข้อเสนอลำดับต่อไป
ศ.นพ.จรัส กล่าวว่า จากการพิจารณาคณะกรรมการฯ ทราบถึงความรุนแรงของโควิด-19 และมาตรการดูแลสถานการณ์ของรัฐบาล ซึ่งนับว่าเป็นมาตรการที่ค่อนข้างจะเข้มข้นรุนแรงจนส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรงซึ่งรัฐบาลทราบแล้ว และส่งผลกระทบต่อสังคมเพิ่มเติมเข้ามาอีก คณะกรรมการเห็นว่า มาตรการของรัฐมีความสำคัญ แต่ที่สำคัญและต้องควบคู่กันไปคือ มาตรการที่เกิดขึ้นจากประชาชน จากประชาสังคมจากส่วนต่าง ๆ ภาคเอกชนด้วยที่จะช่วยกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและไม่เกิดผลกระทบมาก
“เมื่อเข้าสู่ระยะผ่อนปรนมาตรการภาครัฐจะมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคอีกครั้ง ซึ่งคณะกรรมการจะต้องพิจารณาศักยภาพการตรวจการติดเชื้อของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเฝ้าระวังโรคว่า เพียงพอที่จะรับมือหรือไม่ สิ่งนี้เป็นคำถามใหญ่ และจากการที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางสังคม คำตอบเดียวไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ จำเป็นต้องพิจารณาภาพรวมและภาพเฉพาะ ดังนั้น คำตอบเรื่องนี้ คงจะเป็นทางสายกลาง และมาตรการภาครัฐจำเป็นที่จะต้องมีกฎเกณฑ์และการลงโทษด้วย เพราะเพียงขอความร่วมมือยังไม่เพียงพอและได้ผลไม่เต็มที่” ศ.นพ.จรัส กล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเริ่มที่จะมีการผ่อนปรนมาตรการอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้กลไกทางเศรษฐกิจได้ขับเคลื่อนบ้าง ภาคการผลิต ภาคบริการเริ่มกลับมาทำธุรกิจได้อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาเปิดอีกครั้งนั้น หากพิจารณาจะพบว่า กิจการบางอย่างอันตรายมากต่อการแพร่ระบาด บางอย่างอันตรายน้อย จึงต้องพิจารณาความเสี่ยง หากเปิดดำเนินธุรกิจแล้วผลกระทบไม่มาก ก็จะทยอยเปิดได้มากขึ้น นี่คือแผนที่ปรากฏ และเมื่อเปิดแล้ว มีการระบาดของโรคมากจนระบบรักษาดูแลไม่ได้หรือไม่ เรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังเฝ้าดูอยู่ ซึ่งคนติดเชื้อไม่สำคัญเท่ากับการเสียชีวิต เช่น ประเทศเยอรมนีติดเชื้อมาก แต่อัตราการเสียชีวิตไม่สูง หากเป็นนลักษณะนี้ก็น่าจะพอไหว ดังนั้น จะต้องพิจารณาให้พอดีว่าจะให้กลับมาดำเนินธุรกิจอย่างไร เพราะการดูแลทางเศรษฐกิจอย่างเดียวคงจะไม่ได้ เนื่องจากยังมีการทับซ้อนของสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และมีความไม่แน่นอน ดังนั้น ความคล่องตัวในการปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ด้านยารักษาโดยตรงยังไม่มี โอกาสมีตัวยายังไม่ทราบ ส่วนวัคซีนป้องกันอยู่ระหว่างการศึกษา 70-80 โครงการ บางส่วนเริ่มได้ผลและมีการทดลองในมนุษย์ เพื่อความปลอดภัยและผลสัมฤทธิ์ จึงต้องใช้เวลาในการทดลอง คาดว่าจะเริ่มได้วัคซีนโควิด-19 ในช่วงเดือนมิถุนายน 2564 หรือสิ้นปี 2564 หรือประมาณ 1 ปีครึ่งนับจากนี้ไปหรือยาวกว่านั้น ดังนั้น จะต้องเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ต่อไป แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เศรษฐกิจหยุดชะงักลง.-สำนักข่าวไทย
