ศบค.เตรียมพิจารณาผ่อนปรนระยะสอง 17 พ.ค.นี้

ทำเนียบรัฐบาล 7 พ.ค.-โฆษกศบค.เผย ผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม นายกฯย้ำเข้มงวดทุกมาตรการต่าง เน้น ทำงานที่บ้าน-เหลื่อมเวลา ลดเคลื่อนย้ายคน เตรียมพิจารณาผ่อนปรนระยะสอง 17 พ.ค.


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (7 พ.ค.)ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 3 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,992 ราย รักษาหาย 2,772 ราย รักษาอยู่ 165 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตคงเดิมรวม 55 ราย ทั้งนี้ จากจำนวนตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 3 ราย รายแรกเป็นหญิงไทยอายุ 59 ปี เป็นแม่บ้าน ภูมิลำเนาจังหวัดยะลา มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันจากประเทศมาเลเซีย ส่วนอีกสองคนเป็นชายอายุ 46 ปีและ 51 ปี อาชีพรับจ้าง เป็นผู้ป่วยเดินทางมาจากประเทศคาซัคสถาน และเข้ากักกันตัวในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้

โฆษกศบค. กล่าวว่า สถานการณ์โลก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 3,822,860 ราย เสียชีวิต 265,076 ราย สหรัฐอเมริกาติดเชื้อมากที่สุด  1,263,092 ราย เสียชีวิต 69,921 ราย ส่วนในกลุ่มอาเซียนและเอเชีย อินเดียมีผู้ป่วยสะสมมากที่สุด 52,987 รองลงมาคือปากีสถานและสิงคโปร์ ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 64 ของโลก 


“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะ ผอ.ศบค.มอบแนวทางการทำงาน โดยขอให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญการดูแลระยะเปลี่ยนผ่านของมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวด และขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกคนที่ทำให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งสถานการณ์ยังอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ แต่ยังต้องดำเนินการเชิงรุกตามแนวทางดูแลทุกอย่างอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการเข้าออกต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยต้องไม่ให้นำเชื้อเข้ามาภายในประเทศ และต้องกักกันตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ ต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขและหน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนด ให้หน่วยงานต่าง ๆรายงานผลกระทบการผ่อนคลายมาตรการและแนวทางการแก้ไข โดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และรับฟังข้อเสนอของผู้ประกอบการวย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานอย่างหนักต้องให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิ์” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

“พล.อ.ประยุทธ์แนะให้มีมาตรการและแนวทางเฉพาะของกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเดินทางโดยรถไฟฟ้า ต้องมีมาตรการต่าง ๆ ดูแล การเหลื่อมเวลาการทำงาน ที่อาจจะต้องเหลื่อมหลายช่วงเวลา โดยให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายดูแลเรื่องนี้ เพราะเมื่อออกมาทำงาน จะทำให้คนแออัดกันในขนส่งมวลชน และมาตรการคือ Work from home การทำงานที่บ้าน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่ให้ทำงานที่บ้านให้มากที่สุดหรือร้อยละ 50 ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยลดการเคลื่อนย้ายของคนได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจรายงานการทำงานที่บ้านและการเหลื่อมเวลาการทำงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง” โฆษกศบค. กล่าว


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในส่วนของสถานศึกษาเตรียมขยายเวลาการเปิดเรียน รวมถึงปรับการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งเรียนผ่านโทรทัศน์ดาวเทียมและระบบออนไลน์ ส่วนการออกกำลังกายในสวนสาธารณะต้องระวังไม่ให้มีการแพร่กระจายโรค ซึ่งการออกกำลังด้วยการเดินถือเป็นวิธีที่ดี แต่การวิ่งออกกำลังต้องระมัดระวัง เพราะมีบางคนใส่หน้ากากผิดแบบ ทำให้หายใจไม่สะดวก

“มีรายงานในที่ประชุมศบค.เรื่องการปิดสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งหากเป็นผู้สูงอายุที่ต้องพักค้างสามารถทำได้ แต่หากเป็นประเภทที่ต้องไปกลับจะไม่อนุญาต เพราะอาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของร้านขายวัสดุก่อสร้าง ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ สินเชื่อ ประกันภัยในห้าง ที่ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้  ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบประเด็นเหล่านี้ แต่ต้องหารือเพื่อออกเป็นข้อกำหนดและพิจารณาข้อกฎหมายอีกครั้ง” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ก่อนการผ่อนปรนมาตรการในระยะที่สอง มีไทม์ไลน์ที่ต้องดำเนินการ คือวันที่ 8-12 พฤษภาคมเป็นช่วงของการรับฟังความคิดเห็นทั้งเชิงสถิติและสถานการณ์ วันที่ 13 พฤษภาคมจะซักซ้อมทำความเข้าใจ วันที่ 14 พฤษภาคมจะยกร่างการผ่อนปรนระยะที่สองและนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี หากไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม จะเริ่มมาตรการผ่อนปรนระยะที่สองได้ ซึ่งจะเป็นการผ่อนปรนในกิจการขนาดใหญ่และมีประชาชนเข้าไปจำนวนมาก ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับทุกคนที่จะต้องช่วยกัน

โฆษกศบค. กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าจะต้องพัฒนาการตรวจประชากรกรที่มีกลุ่มเสี่ยงและในสถานที่เสี่ยงให้ได้มากที่สุด โดยเป้าหมายคือต้องตรวจให้ได้ 6,000 รายต่อหนึ่งล้านประชากร คือประมาณ 400,000 ราย ซึ่งขณะนี้ตรวจไปแล้ว 230,000 ราย นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยรายงานว่าได้ปิดสถานที่ตามมาตรการของสถานการณ์ฉุกเฉินไปกว่า 46,000 แห่ง และเปิดสถานที่ตามมาตรการผ่อนปรนกว่า 140,000 แห่ง ส่วนกรุงเทพมหานครจัดชุดตรวจ กิจการและกิจกรรมต่าง ๆ พบว่ากว่า 3,000 แห่งที่มีความผิดและตักเตือนแล้ง

“ขณะที่การพิจารณาเกณฑ์การรับคนไทยกลับประเทศ แบ่งเป็นด่วนที่สุดที่จะได้กลับก่อนได้แก่ ผู้ป่วย ผู้ตกค้างจากสนามบิน ผู้ที่วีซ่าหมดอายุและนักท่องเที่ยวที่ตกค้าง  อีกกลุ่มคือด่วนมากได้แก่ พระสงฆ์ที่ไปปฏิบัติธรรม นักเรียน นักศึกษาและคนตกงาน โดยวันนี้ที่ประชุมศบค.หารือเตรียมรับนักเรียนไทยกลับจากประเทศอาร์เจนตินา 52 คน และอุรุกวัย 2 คน โดยจะเดินทางมาถึงวันที่ 20 พฤษภาคม” นพ.ทวีศิปล์ กล่าว

โฆษกศบค. กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า การแพร่ระบาดของโรคในต่างประเทศยังมีอยู่ต่อเนื่อง พบว่าผู้ติดเชื้อในไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และการระบาด ของเชื้อมาจากทั้งการเคลื่อนย้ายประชากร เช่น จากกรุงเทพมหานครปยังต่างจังหวัด และการรวมกลุ่มมั่วสุม เช่น การดื่มสุรา ดังนั้น ยังต้องคงมาตรการในประเทศอย่างเข้มข้น และตรึงการนำเข้าเชื้อจากต่างประเทศให้ได้ เพื่อให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเลขหลักเดียวหรือดีขึ้นกว่านี้

“สถานการณ์การติดเชื้อของประเทศต่าง ๆ ดีขึ้น เช่น จีนและเกาหลีใต้ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอว่า น่าจะปรับเรื่องการประกาศรายชื่อและถอนประเทศบางประเทศที่เป็นเขตโรคติดต่ออันตรายออกไป เพื่อให้มีเรื่องของการทำงานหรือมีความสัมพันธ์ในเชิงด้านเศรษฐกิจสังคมต่างๆ ที่ดีกันไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีและที่ประชุมเห็นชอบ แต่ต้องนำไปสู่การดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าประเทศได้ทันที ยังต้องมีมาตรการต่าง ๆ ที่จะจัดการ ซึ่งที่ประชุมต้องพูดคุยกันต่อ” นพ.ทวีศิปล์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย   

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนรับฟังข้อเท็จจริงชายแดนไทย-กัมพูชา

กทม. 31 ก.ค.- ทบ. เชิญผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนร่วมหารือและรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริง อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังตั้งทีมเฝ้าติดตามหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ (31 ก.ค.68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกโดยกรมข่าวทหารบก ร่วมหารือกับผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนประจำประเทศไทย นำโดยผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ณ อาคารศรีสิทธิสงคราม ภายในกองบัญชาการกองทัพบก โดยมี พล.ท.กำชัย วงศ์ศรี เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานในการหารือ การหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการจัดตั้ง Interim ASEAN Defence Attaches Monitoring Team (Interim ASEAN DAs Monitoring Team) ในการปฏิบัติหน้าที่สังเกตการณ์สถานการณ์หยุดยิง (Ceasefire) ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งการหารือในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิง ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเห็นพ้องร่วมกันในการจัดตั้งทีมเฝ้าติดตามชั่วคราวของฝ่ายทูตทหารจากชาติสมาชิกอาเซียนโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นกลไกเบื้องต้นในการติดตามสถานการณ์และสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไก ASEAN Monitoring Team (AMIT) ในอนาคต […]

“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

ก.ต่างประเทศ 31 ก.ค.-“มาริษ” ยันไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีนานาชาติ และไม่ได้นิ่งนอนใจเฟคนิวส์ฝั่งกัมพูชา สั่งทูตเดินหน้าแจงทุกกรอบทุกเวที บอกนำทูตต่างประเทศลงดูพื้นที่ชายแดนช้า ห่วงความปลอดภัย ชี้ไปเร็ว ไม่ถือว่าชนะ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงยืนยัน จากสถานการณ์ปัญหาไทย-กัมพูชา ไทยไม่ได้เสียเปรียบ เพราะการชี้แจงอยู่ในกรอบของสหประชาชาติ เราได้ย้ำจุดยืนตั้งแต่ต้น ว่าเรายึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ กรอบกฎบัตรของอาเซียน แม้มีความพยายามนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC แต่ไม่ได้ออกข้อมติใดๆ และพูดว่าเป็นเรื่องของการเจรจาในระดับทวิภาคีไม่ต้องเอากลับมาในกรอบของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ รวมทั้งการที่กัมพูชา พยายามพูดปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวทีที่ปัญหาอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็ไม่ได้รับการบรรจุเรื่องนี้ในสเตทเมนท์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแม้มีความพยายามบิดเบือนจากกัมพูชาในเวทีต่างๆ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เดินหน้ามาตรการทางการทูตโดยเร่งชี้แจงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งกรอบทวิภาคี ภาคีในเวทีระหว่างประเทศทั้งหลาย ทั้งดำเนินการจากส่วนกลาง และการดำเนินการ ผานสถานทูตสถานกงสุญใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่เกิดกรณีการรุกราน เช่น ในเรื่องของ UNSC การวางทุ่นระเบิดสังหาร การโจมตีพลเรือน ในฝั่งไทย และประณามไปแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า เมื่อเช้าได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ซึนตนได้พูดให้เห็นถึงภาพต่าง ๆ ในการพบกันกับผูนำกัมพูชาที่มาเลเซีย และบอกว่าเราต้องการเห็นการหยุดยิงที่ไม่มีเงื่อนไข และหยุดยิง เด็ดขาดตามที่ตกลงกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับความจริงใจจากกัมพูชา […]

ทบ.แจงปม “ปราสาทตาควาย” ยึดไม่ได้ 100% เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิง

31 ก.ค.- ทบ.แจงปมทหารไทยยึด “ปราสาทตาควาย” ไม่ได้ 100% ไม่ใช่ตัวชี้วัดแพ้ชนะ แต่ได้พื้นที่มากกว่าก่อนปะทะ ลั่นยึดเนิน 350 จุดสูงข่มไม่ได้ เจอสนามทุ่นระเบิด BM-21 จ่อยิงหากเคลื่อนกำลังไปตัวปราสาทฯ ชี้ทีมโฆษก ทบ. ไม่ได้รับการประสานจากรัฐบาลก่อนเจรจาหยุดยิงถึงสถานการณ์หน้างาน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่การปฏิบัติการทางทหารทั้งหมดมีเพียงปราสาทตาควายที่เดียว มีข้อจำกัด หากจะพูดถึงการควบคุมพื้นที่ เราสามารถควบคุมได้ตามแผน ตามเป้าหมายทางการทหารที่ได้วางไว้ โดยพื้นที่ปราสาทตาควาย ถือเป็นความพยายามสุดท้ายของทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชา ก่อนถึงเวลาหยุดยิง ยอมรับว่า ปัจจุบันเราไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ 100% เพียงแต่เราได้พื้นที่ควบคุมเพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะมีการปะทะ จะเห็นว่าปัจจุบันเราควบคุมพื้นที่ได้ด้วยการใช้อาวุธยิง ซึ่งลักษณะการวางกำลังบริเวณปราสาทตาควายจะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่ที่เป็นจุดสำคัญทางการทหาร ไม่ใช่ตัวปราสาทตาควาย เพราะเป็นพื้นที่ต่ำ แต่เดิมหากเราวางกำลังประจำอยู่ที่ปราสาทตาควาย จะเป็นความไม่ปลอดภัยในเรื่องของการใช้อาวุธจากฝ่ายตรงข้าม เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของการคุมพื้นที่ ห้วงสุดท้ายสำหรับการใช้กำลัง เราพยายามกระทำต่อเป้าหมายจุดสูงข่ม คือ เนิน 350 ซึ่งอาจจะมองว่าอยู่ในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นจุดสำคัญที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติทางทหาร จึงเป็นความสำคัญสูงสุดที่เราจะต้องยึดที่หมายนี้ให้ได้ แต่เวลามีให้เราไม่เพียงพอ ซึ่งอย่างน้อยเราก็สามารถควบคุมพื้นที่ส่วนรวมด้วยอาวุธ ทั้งนี้ เนิน 350 เป็นพื้นที่วางกำลังของทหารกัมพูชา […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย