กรุงเทพฯ 15 เม.ย. – อมตะฯ ประเมินภาพการลงทุนปี 63 เปลี่ยน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาควบคุมวิกฤติโควิด-19 ของแต่ละประเทศ
เสนอรัฐบาลเร่งปรับตัวพลิกฟื้นการบริโภคภายในก่อนพึ่งตลาดส่งออก
ควบคู่รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท
อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า จากผลกระทบของการระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด–19 )
คาดว่าจะส่งผลให้ภาพของการลงทุนและการผลิตทั่วโลกจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังจากประเทศส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้จะทำให้เกิดการตัดสินใจการย้ายฐานการลงทุนเพิ่มขึ้น
แต่พื้นที่ที่จะเลือกลงทุนของนักลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยนักลงทุนจะมองเรื่องความมีเสถียรภาพของรัฐบาลและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนมากขึ้น
“จากสถานการณ์นี้ ทำให้การเลือกพื้นที่การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ แต่ละประเทศมีความพร้อมที่จะเปิดรับการลงทุน ทั้งด้านสิทธิประโยชน์
แรงงาน และนโยบายของรัฐบาล ที่มีความชัดเจนในการเปิดรับนักลงทุนต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชาและเมียนร์ม่า
ซึ่งไทยแม้ว่าจะได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบของนักลงทุนทั้งหมด
เพราะการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับการมีเสถียรภาพของรัฐบาลและนโยบายการส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนควบคู่ไปด้วย”
นายวิบูลย์ กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งออกนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ
ภายหลังการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้แล้ว
โดยเริ่มต้นจากการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น ดังนั้น นโยบายรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบวงเงิน
1.9 ล้านล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยประคองระบบเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
เพราะไทยคงไม่สามารถพึ่งพาตลาดส่งออกระยะแรก เนื่องจากแต่ละประเทศจะต้องใช้เวลาควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดที่อาจจะสำเร็จไม่พร้อมกัน
ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีการยกระดับรายได้ของภาคเกษตร เพราะเป็นพื้นฐานการบริโภคที่สำคัญ
ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ซึ่งระดับรายได้เฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 9,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยังไม่สูงมาก
ส่วนอมตะฯ มีแผนสำหรับรองรับกับเปลี่ยนแปลงของภาพการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ทั้งพื้นที่รองรับการลงทุนที่มีอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะชิตี้ ชลบุรี และ นิคมฯ อมตะชิตี้
ระยอง ปัจจุบันมีอยู่ที่ 14,000 ไร่ แต่รูปแบบการเปิดรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน
อมตะจะพิจารณาความต้องการของนักลงทุนอย่างถี่ถ้วนในการเข้ามาใช้พื้นที่ตามเงื่อนไขของนักลงทุนทั้งการชื้อและเช่าที่ดิน
เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความสนใจในการเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อการลงทุนในระยะยาวในนิคมฯของกลุ่มอมตะอย่างต่อเนื่อง
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้การเข้ามาของนักลงทุนเกิดการชะลอตัว
เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส ซึ่งนับว่าเป็นจังหวะเดียวกับช่วง Low season ของกลุ่มบริษัท
อมตะที่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในช่วงไตรมาส 1-2 ของทุกปี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะวิกฤติครั้งนี้อมตะฯ
ยังคงมีการติดต่อกับนักลงทุน
โดยใช้ระบบเทคโนโลยีด้านสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อมูลเบื้องต้นกับกลุ่มลูกค้าและนักลงทุน
ไม่ว่าจะเป็น Video Conference E-Mail เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการทำตลาดในช่วงนี้
ก่อนที่นักลงทุนจะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อศึกษาพื้นที่จริง
และตัดสินใจเข้ามาลงทุนต่อไป.-สำนักข่าวไทย