สธ.14 มี.ค.- สธ.เผยพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 7 ราย มีประวัติเกี่ยวข้องกลุ่มปาร์ตี้ทองหล่อ ลามติดครอบครัวใหญ่ และดาราดัง พร้อมชื่นชมดาราหนุ่มที่กล้าออกมายอมรับต่อสังคมว่าป่วยโควิด-19
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ 7 ราย
รายที่ 76 เป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ไปสังสรรค์ที่ทองหล่อ คือเป็น หญิงวัย 63 ปี เป็นมารดาของหนึ่งในกลุ่มที่ไปสังสรรค์
รายที่ 77 หญิงไทย 57 ปี (มารดา) เดินทางมาจากญี่ปุ่นวันที่ 4 มีนาคม 2563 มีไข้ ไอมีเสมหะ
รายที่ 78 หญิงไทย อายุ 30 ปี (บุตรสาว) อาชีพพนักงานบริษัท ให้ประวัติเพื่อนมาจากเกาหลีใต้ (วันที่ 2 มีนาคม 2563) และมารดามาจากญี่ปุ่น เริ่มป่วยวันที่ 9 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ
รายที่ 79ชายญี่ปุ่น อายุ 33 ปี (สามีบุตรสาว) อาชีพพนักงานบริษัท เริ่มป่วย 9 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ
รายที่ 80 เด็กหญิงไทย อายุ 4 ปี (หลาน) เริ่มป่วย 9 มีนาคม 2563 มีไข้ ไอ มีเสมหะ
รายที่ 81 เป็นหญิงไทย อายุ 20 ปี เดินทางกลับจากญี่ปุ่นถึงไทย 14 กุมภาพันธ์ 2563 เริ่มป่วยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ หายใจเหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ มีเสมหะ หลังมีเสมหะอาการมีไม่ดีขึ้น วันที่ 11 มีนาคม 2563 จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกทม.
และรายที่ 82 เป็นชายไทย อายุ 41 ปี อาชีพนักแสดงและพิธีกร เริ่มป่วย 11 มีนาคม 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีประวัติมีเพื่อนเดินทางมาจากต่างประเทศ รักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี อยู่ระหว่างติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ จะติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการ ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังรอผลสอบสวนโรคประมาณ 36 ราย
ขณะนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ติดตามผู้ที่ใกล้ชิด เข้าอยู่ในเกณฑ์สอบสวนอยู่ระหว่างรอผลตรวจ 36 ราย และอยู่ระหว่างการติดตามผู้ที่มีประวัติใกล้ชิดอีก 100 กว่าราย
ยอดรวมล่าสุด จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทยรวมทั้งหมด 82 คน แยกออกเป็นรักษาหายแล้ว 35คนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 46 คนและเสียชีวิต 1 คน
นพ.สุขุม กล่าวถึงสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการระบาดในประเทศไทย คือ ผู้ที่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ รวมทั้งมีประวัติคลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่การระบาดจะเกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก โดยเฉพาะในตัวเมืองที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เยอะ ลักษณะจะเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันไปสังสรรค์ร่วมกันโดยไม่มีการป้องกันตัวเอง ในขญะนี้อยากขอความร่วมมือไปยังประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะกลับมาจากประเทศใดขอให้มีการติดตามเฝ้าระวังอาการของตัวเองอย่างน้อย 14 วัน แยกของใช้ส่วนตัวออกจากคนในบ้านจะเป็นการช่วยคัดกรองอย่างดีในขั้นต้น หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเสี่ยง
ส่วนกรณีผู้ป่วยรายที่ 82 ซึ่งเป็นดารานักแสดง จากประวัติข้อมูลพบว่าเริ่มป่วยมีอาการวันที่ 11 มีนาคมซึ่งดาราคนดังกล่าวมีประวัติเดินทางและไปทำงานที่ต้องเจอกับผู้คนจำนวนมากจึงอยากจะอธิบายให้สังคมเข้าใจว่าโรคนี้จะมีระยะฟักตัว 5-7 วันผู้ที่สัมผัสหรือใกล้ชิดดาราคนดังกล่าวก่อนวันที่ 11 มีนาคมค่อนข้างจะปลอดภัยแต่ใครที่มีประวัติใกล้ชิดในช่วงระหว่างวันที่ 11 ถึง 13 มีนาคมขอให้เฝ้าระวังอาการของตัวเองอย่างน้อยห้าถึงเจ็ดวัน แม้ในระยะเฝ้าระวังจะไม่มีอาการหรือไปตรวจมาแล้วผลเป็นลบก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสติดเชื้อยังขอให้เฝ้าระวังตัวเองจนครบกำหนดที่ 14 วันหรือหากมีข้อสงสัยขอให้รีบไปพบแพทย์
พร้อมยืนยันว่าการอัดคลิปวิดีโอแจ้งว่าตัวเอง ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ก่อนที่ทางคณะแพทย์จะออกมาแถลงข่าวยืนยันไม่เป็นการก้าวล่วงการทำงานของเจ้าหน้าที่เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อรู้ตัวว่าป่วยก็ต้องออกมา ยอมรับ เพื่อที่จะให้คนที่ใกล้ชิด และเคยมีประวัติสัมผัส ได้เฝ้าระวังและติดตามอาการและที่สำคัญ ทำให้ทีมแพทย์ติดต่อและประสานได้ง่ายและรวดเร็วซึ่งหลังจากที่เป็นข่าวเมื่อวานนี้ทางทีมแพทย์ก็ได้ติดต่อไปยังผู้จัดการส่วนตัวเพื่อให้คำแนะนำและเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้ทีมแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขต้องขอขอบคุณดาราคนดังกล่าวและชื่นชมที่กล้าจะออกมายอมรับ เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที
และสืบเนื่องจากกรณีดาราหนุ่มที่ป่วยแล้วมีบุคคลใกล้ชิดซึ่งเป็นดาราหลายคนไปขอตรวจตามโรงพยาบาลต่างๆว่าจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ แล้วได้ระบุว่ามีค่าใช้จ่ายตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นบาท เรื่องนี้ กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า โควิด-19 ได้ถูกระบุว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงหากไปตรวจแล้วพบว่าเป็นโรคจริง จะได้รับเงินคืนทั้งหมด อย่างในกรณีดาราหนุ่มทางกระทรวงก็จะทำการคืนเงินย้อนหลังให้ นอกจากนี้ ในข้อกฎหมายเรื่องโรคติดต่อร้ายแรงยังครอบคลุมไปถึงผู้ที่มีประวัติเดินทางไปในประเทศเสี่ยง หรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีความเสี่ยง ตามที่กรมควบคุมโรคได้กำหนดไว้ก็สามารถไปตรวจได้ตามโรงพยาบาลโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินยกเว้นกรณีที่ไม่มีความเสี่ยงใดใดแล้วไปขอตรวจว่าติดโควิด-19 หรือไม่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง.-สำนักข่าวไทย