กทม. 11 มี.ค. – ตัวเลขผู้ป่วยและเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ที่ยังทะยานไม่หยุด ประกอบนักวิจัยจีนออกมาระบุว่าไวรัสตัวนี้มีการกลายพันธุ์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว วันนี้พาไปไขข้อข้องใจกับนักไวรัสวิทยาที่ศึกษาโคโรนาไวรัสมาเป็น 10 ปี ว่าไวรัสโควิด-19 มีการกลายพันธุ์จริงหรือไม่
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่าร้อยประเทศทั่วโลกที่ยังพุ่งไม่หยุด จนหลายประเทศต้องประกาศปิดเมือง สะท้อนถึงความสามารถการแพร่กระจายเชื้ออย่างมีนัยสำคัญ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ที่ศึกษาวิจัยโคโรนาไวรัสมากว่า 10 ปี บอกว่าโควิด-19 แพร่กระจายเชื้อได้เร็ว เพราะมีการเพิ่มส่วนพันธุกรรมของไวรัสไปจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายกว่าโคโรนาไวรัสตัวอื่น อีกทั้งยังมีระยะเวลาการแพร่เชื้อที่ยาวนาน เริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันแรก ที่มีการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องแสดงอาการ หรือป่วยรุนแรง
โรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2% ซึ่งในความเป็นจริงอาจน้อยกว่านั้น เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการและหายป่วยได้เองอีกจำนวนมาก ส่วนข้อกังวลเรื่องการกลายพันธุ์อย่างที่นักวิจัยจีนออกมาเปิดเผยว่าโควิด-19 กลายพันธุ์ แบ่งออกเป็นชนิดรุนแรง L type และชนิดรุนแรงน้อย S type และเชื่อว่าไวรัสชนิดรุนแรงกลายพันธุ์มาจากชนิดที่ไม่รุนแรง เป็นสัญญาณอันตรายว่าไวรัสนี้กำลังกลายพันธุ์เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่รุนแรงมากขึ้น ดร.อนันต์ ระบุในแวดวงนักไวรัสวิทยาต่างให้ความเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่ใช่ข้อสรุปที่เชื่อถือได้ เพราะธรรมชาติของไวรัสมีการกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรุนแรงขึ้นเสมอไป อีกทั้งงานวิจัยดังกล่าวก็เก็บตัวอย่างเฉพาะผู้ป่วยหนักที่อยู่ในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ได้เก็บตัวอย่างผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง ซึ่งมีอยู่อีกจำนวนมากในเมืองอู่ฮั่น
เมื่อวิเคราะห์ถึงแนวทางควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นักไวรัสวิทยาต่างชื่นชมเกาหลีใต้ เนื่องจากมีการตรวจคัดกรองผู้ป่วยได้มากกว่าวันละหมื่นคน ทำให้เข้าสู่ระบบการรักษาได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงจากวันละ 800 คน เหลือวันละ 300 คน มีอัตราการเสียชีวิตต่ำแค่ 0.6%ข องจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ถือว่าต่ำที่สุดในโลก และต่ำกว่าที่องค์การอนามัยโลกระบุไว้ คือ 3.4% และนี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดี หากจะนำมาปรับใช้ควบคุมโรคในไทย กรณีต้องเข้าสู่การแพร่ระบาดระยะที่ 3 ซึ่งจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นพร้อมกันจำนวนมาก.-สำนักข่าวไทย
