กกร.ปรับลดจีดีพีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เหลือโต1.5-2.0%

กรุงเทพฯ 4 มี.ค. – กกร. ลดจีดีพีเหลือโต 1.5 – 2% ภายใต้สมมุติฐานว่า ปัญหาไวรัสโควิดระบาดทั้งในจีนและนอกจีน จะคลี่คลายและผ่านจุดสูงสุดกลางปีนี้ และธุรกิจจะทยอยกลับมาฟื้นตัวได้ไตรมาสสุดท้ายของปี


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แถลงภายหลังการประชุมว่า กกร.ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี ปี 2563 ลดลงเหลือขยายตัวเพียง 1.5-2.0% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.0-2.5% ขณะที่ยังคงประมาณการการส่งออกและเงินเฟ้อไว้ตามเดิม -2% ถึง 0% การปรับลดจีดีพีต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 3 นี้ ถือเป็นครั้งแรกของกกร. หลังจากที่ได้ทยอยปรับลดมาตั้งแต่เดือนม.ค.63 จากที่ปกติจะทำการประเมินในรอบทุกๆ  3 เดือน โดยตัวเลขปรับใหม่นี้ ทำภายใต้สมมติฐานที่คาดการณ์ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ทั้งในจีนและนอกจีนจะผ่านจุดสูงสุดได้ภายในกลางปีนี้ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทยอยกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แม้ว่าขณะนี้ภาครัฐกำลังอยู่ระหว่างเตรียมมาตรการเพื่อประคองเศรษฐกิจ  แต่เมื่อได้ประเมินแล้วคาดว่า ผลกระตุ้นจากมาตรการฯ อาจจะไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ที่ขยายเป็นวงกว้างทั้งต่อภาคธุรกิจและการจ้างงานโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมได้ 


ทาง กกร.มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะคลี่คลายเมื่อใด เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2563 โดยผลทางตรงจาก COVID-19 นอกจากกระทบภาคการค้าและการผลิตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกแล้ว ยังกดดันภาคการบริการอย่างการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องให้หยุดชะงักลง ส่งผลกระทบทางอ้อมมายังภาคธุรกิจต่างๆ ให้มีการลดการจ้างงาน/ปิดกิจการ ซ้ำเติมประเด็นด้านกำลังซื้อของครัวเรือนที่เดิมก็อยู่ในภาวะที่เปราะบางจากหลายปัจจัยลบอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีผลกระทบจากภัยแล้งที่รุนแรงด้วย

และจากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนมกราคม 2563 ที่เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวลงในแทบทุกรายการ ที่ประชุม กกร. คาดว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน 2563 เครื่องชี้ต่างๆ น่าจะยิ่งสะท้อนถึงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ทิศทางเศรษฐกิจหลังจากนั้น คงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยเป็นสำคัญ ซึ่งหากจำนวนผู้ติดเชื้อผ่านจุดสูงสุดไป เหตุการณ์ต่างๆ น่าจะทยอยคลี่คลายได้    

ทั้งนี้ เพื่อประคองเศรษฐกิจและภาคธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤต COVID-19 เฉพาะหน้านี้ไปได้ กกร. คาดหวังให้ภาครัฐออกมาตรการทั้งด้านการคลังและด้านการเงินอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดภาระค่าใช้จ่ายและเติมสภาพคล่องให้กับธุรกิจต่างๆ โดย 3 สมาคมที่เป็นตัวแทนของกกร. จะได้นำข้อเสนอแนะภาคเอกชนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมีการประชุมในวันศุกร์ที่ 6 มี.ค.63 นี้ ขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องเตรียมการรับมืออย่างเพียงพอสำหรับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคในประเทศไทย       


นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ กกร. เห็นว่า สำคัญมากคือ ภาครัฐควรมีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนหรือ กรอ.ส่วนกลาง เพื่อเป็นกลไกการดำเนินงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันประเด็นที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ และเอกชนจะได้เสนอเรื่องที่เป็นความต้องการของเอกชนต่อรัฐบาลได้โดยตรง ซึ่งเรื่องการมีกรอ.ส่วนกลางนี้ เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนเคยขอไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาล

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ภาคเอกชนห่วงมากที่สุดคือ ปัญหาภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบตามมาต่อเนื่องในหลายภาคส่วนเรื่องนี้จะต้องได้รับการดูแลเร่งแก้ไขอย่างดีที่สุดเพื่อให้ผลกระทบมีน้อยที่สุด อีกปัญหาที่ยังคงกังวลอยู่คือ สงครามการค้าแม้ว่าช่วงนี้จะคลี่คลายลงไปบ้าง ส่วนการเมืองในประเทศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กกร.ให้ความสนใจติดตามสถานการณ์อยู่สำหรับเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)นั้น  เรื่องนี้ภาคเอกชนต้องการให้มีผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความสามารถ  ซึ่งภาพลักษณ์ของครม.จะขึ้นกับการได้บุคคลที่เข้ามาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อย่างไรก็ตาม การปรับคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณา.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญถกคำร้อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างฯ

จับตา ศาลรัฐธรรมนูญ “รับ/ไม่รับ” คำร้องปม “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า ภาคใต้ฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น