หวั่นค่าไฟฟ้าเพิ่มจากนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน

กรุงเทพฯ 18 ก.พ. – เวทีแสดงความเห็นแผนหลักพลังงานของประเทศ หวั่นค่าไฟฟ้าแพงจากโรงไฟฟ้าชุมชน 1,933 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าล้นจากจีดีพีต่ำกว่าเป้าหมาย ด้านปลัดพลังงานเชื่อมั่นค่าไฟฟ้าอาจไม่แพงขึ้น หากนำเข้าแอลเอ็นจีราคาถูกมาผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่วนไอพีพีตามแผนพีดีพีฉบับปรุงหดเหลือ 6,900 เมกะวัตต์ 



วันนี้ (18 ก.พ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขแผนแม่บทพลังงานของประเทศระยะยาว 20 ปี (2561-2580) ซึ่งหนึ่งในแผนงาน คือ ปรับปรุงแผนไฟฟ้า (ร่างแผนพีดีพี 2018 ฉบับปรับปรุง) ที่ปรับปรุงใหม่ หลังรัฐบาลกำหนดนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากปี 2563-2567 รวม 1,933 เมกะวัตต์ โดยยังคงปริมาณโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไว้เช่นเดิมตลอดทั้งแผน 18,696 เมกะวัตต์ ซึ่งการกำหนดโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น เป็นการลดสัดส่วนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดแผน 10,000 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 9,290 เมกะวัตต์ (เนื่องจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชนที่กำหนดซื้อ 100 เมกะวัตต์/ปี เป็นเวลา 10 ปี ปรากฏว่า ปี 2562 มีการขายเข้าระบบจริงเพียง 3 เมกะวัตต์) ปรับเพิ่มเป้าหมายโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 69 เมกกะวัตต์ ปรับเพิ่มเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน)  ชะลอโรงไฟฟ้าชีวมวลประชารัฐภาคใต้ ปีละ 60 เมกะวัตต์ จากปี 2564– 2565 ไปเป็นปี 2565–2566 เร่งรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลม จากเดิมปี 2577 มาเป็นปี 2565 ขณะที่รถไฟฟ้าหรืออีวีจะเข้ามามีบทบาทการใช้น้ำมันก็จะน้อยลง 


สำหรับแผนพีดีพี 2018 ฉบับปรับปรุงรวมกำลังผลิตไฟฟ้าจนถึงสิ้นปี 2580 ยังคงเท่าเดิมที่ 77,211 เมกะวัตต์ โดยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เข้าระบบ 56,431 เมกะวัตต์ ในส่วนนี้จะมีการรับซื้อโรงไฟฟ้าใหม่หรือทดแทนที่จะเป็นโรงไฟฟ้าไอพีพีลดลง จาก 8,300 เมกะวัตต์ เหลือ 6,900 เมกะวัตต์ (เนื่องจากมีการอนุมัติโรงไฟฟ้าภาคตะวันตกหินกองเข้าระบบไปแล้ว 1,400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหินลดลงจาก 1,740 เมกะวัตต์ เหลือ 1,200 เมกะวัตต์ (เนื่องจากโรงไฟฟ้าเอ็นพีเอสเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็นก๊าซ) โรงไฟฟ้าความร้อนร่วมเพิ่มขึ้นจาก 13,156 เมกะวัตต์ เป็น 15,096 เมกะวัตต์ (เพิ่มจากเอ็นพีเอสและโรงฟ้าฟินกอง)  (ใส่ภาพกราฟฟิก เหตุผลปรับพีดีพี 2018  ) 


ขณะที่แผนก๊าซฯ นั้น ประเมินความต้องการใช้ปี 2580 อยู่ที่ 5,348 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 0.7 ต่อปี ซึ่งการผลิตก๊าซฯ ในประเทศเพิ่มขึ้นจากแผนเดิม เนื่องจากการประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณเสร็จสิ้น ทำให้ความต้องการใช้แอลเอ็นจีลดลงจาก 34 ล้านตัน/ปี เหลือ 26 ล้านตัน/ปี อย่างไรก็ตาม จากแผนโครงสร้างพื้นฐานการนำเข้าแอลเอ็นจีที่อนุมัติไปแล้วและรองรับการนำเข้าใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้ ไทยจะมีคลังนำเข้ารวม 39.8 ล้านตัน/ปี จึงทำให้รัฐบาลเร่งทำแผนการนำเข้าเพื่อการส่งออกทั้งทางเรือและทางรถบรรทุกและรถไฟ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจำหนายในภูมิภาคนี้ โดยคลังแอลเอ็นจีตามแผนจะมีทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย คลังมาบตาพุด 11.5 ล้านตัน/ปี ,คลังหนองแฟบ 7.5 ล้านตัน/ปี ,คลังร่วมทุน ปตท.-กัลฟ์ ในโครงการมาบตาพุดระยะที่ 3 ปริมาณ 10.8 ล้านตัน/ปี ,คลังในภาคใต้ 5 ล้านตัน/ปี ( ใส่ภาพโครงสร้างพื้นฐานแอลเอ็นจี   )

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีดังกล่าวมีการแสดงความคิดเห็นหลากหลาย เช่น การมองสมมติฐานแผนพลังงานที่คำนวณจากเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ เพราะในช่วง 2 ปีนี้จีดีพีโตต่ำกว่าแผนค่อนข้างมาก การสนับสนุนโรงไฟฟ้าชุมชนทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าแพงขึ้นทั้งที่สำรองไฟฟ้าไทยสูงมากกว่าร้อยละ 30 การสร้างคลังแอลเอ็นจีมาบตาพุดระยะที่ 2 เป็นเรื่องที่จำเป็นหรือไม่ ขณะที่ความต้องการก๊าซฯ ไม่ได้สูงเหมือนในอดีต (ใส่กราฟฟิก ภาพเปรียบเทียบค่าไฟฟ้าขายปลีก )

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แม้นโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าตามแผน 20 ปี เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.69 สตางค์/หน่วย เป็น 3.6672 บาท/หน่วย จากแผนเดิม 3.5903 บาท/หน่วย แต่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศช่วยเศรษฐกิจฐานราก คาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนรวมกว่าแสนล้านบาท และช่วยให้เกิดการกระจายลงทุนมากกว่า 200 ชุมชน  อย่างไรก็ตาม จากราคาก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจีตลาดโลกลดลงเหลือไม่ถึง 3 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ขณะนี้ทางกระทรวงจึงมีแผนนำเข้ามาผลิตไฟฟ้าทดแทนก๊าซอ่าวไทย ซึ่งมีราคาสูงกว่า ดังนั้น จึงอาจทำให้ค่าไฟฟ้าทั้งแผนไม่ปรับขึ้นตามคาด 

ส่วนการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์นั้น จะมีการประกาศรับซื้อเดือนเมษายนนี้และประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนนี้ โดยโครงการเร่งด่วน หรือควิกวินจะมี 100 เมกะวัตต์ จะต้องเข้าระบบหรือซีโอดี ภายในปีนี้ และอีก 600 เมกะวัตต์ จะเข้าระบบปีหน้า หนึ่งในเหตุผลที่จะคัดเลือก คือ จะต้องสร้างประโยชน์ต่อชุมชนที่ชัดเจน

ขณะเดียวกันปีนี้โรงไฟฟ้าชุมชนจะนำร่องโดยรัฐวิสาหกิจรวม 4 โครงการ  ประกอบด้วย การร่วมดำเนินการของ กฟผ. 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าจากหญ้าเนเปีย จัดตั้งที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชุมชนที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซชีวมวลจากข้าวโพด ที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์  และโครงการของไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA ที่ จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส กำลังการผลิตรวม 6 เมกะวัตต์.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

“บิ๊กเล็ก” ชี้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นถือว่าดีมากแล้ว เรื่องกับระเบิด จะคุยจนกว่ายอมรับ

ทำเนียบ 8 ส.ค.-“บิ๊กเล็ก” มอบความสำเร็จให้ทีมเจรจา GBC พร้อมขอบคุณประชาชน 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาที่อดทน ให้ผู้ว่าฯ ประสานหน่วยงานด้านความมั่นคงอนุญาตประชาชนกลับบ้าน ชี้กัมพูชาเมินข้อตกลงเก็บกู้ระเบิด เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันกำลังตนเอง ย้ำจะนำไปคุยใน GBC และจนกว่าจะยอมรับ จ่อตั้งทีมที่ปรึกษาส่วนตัวดูข้อกฎหมายรอบด้าน พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำผลสำเร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา หรือ GBC ว่า ขอบคุณทีมคณะเลขานุการ GBC ดำเนินการพูดคุยจนบรรลุข้อตกลง 13 ประเด็น โดยผลสำเร็จที่สำคัญ คือ เป็นการตกลงแบบทวิภาคี ระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งอาเซียนได้ปล่อยให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน โดยไม่เข้ามาแทรกแซง ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้สังเกตการณ์ ขณะที่ในการพูดคุยมีผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐสหรัฐอเมริกา และจีน ก็ได้ปล่อยให้อาเซียนบริหารจัดการกันเอง โดยไม่เข้ามาแทรกแซงเช่นกัน ถือว่าได้รับคำมั่นจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และมาเลเซียก็ตอบรับคำขอไทย ที่พยายามจะรักษาการพูดคุยระหว่างสองประเทศ เพื่อให้กลไกทวิภาคีดำเนินการต่อไปได้ และสิ่งที่ไทยประสบผลสำเร็จอีกหนึ่งประการ คือ เป็นอีกครั้งที่กัมพูชายอมพูดคุยทวิภาคี หลังจากที่ปฏิเสธมาตลอด ส่วนการจะเชื่อใจกัมพูชาได้อย่างไรนั้น พลเอกณัฐพล ย้ำว่า จะใช้แนวทางเดิม […]

ศบ.ทก. เปิดตัว “บุ๋ม ปนัดดา” นั่งโฆษกฯ จิตอาสา

ทำเนียบ 8 ส.ค.-ศบ.ทก. เปิดตัว “บุ๋ม ปนัดดา” นั่งโฆษกฯ จิตอาสา ปะทะ “พลโทหญิงมาลี” มั่นใจสวยกว่าการันตีตำแหน่งนางสาวไทย เจ้าตัวลั่นไม่กลัวเฟคนิวส์ พร้อมยืนยันเคียงข้างประชาชน ให้ข้อเท็จจริง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดตัวโฆษก ศบ.ทก. จิตอาสาคนใหม่ คือ นางสาวปนัดดา วงษ์ผู้ดี เพื่อทำหน้าที่ปะทะกับพลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งอย่างน้อยสิ่งที่เราได้เปรียบ ที่ตนเองมั่นใจ คือ ความสวย ที่สวยกว่าแน่นอน เพราะโฆษก ศบ.ทก.เป็นนางสาวไทย แต่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาไม่ใช่นางสาวกัมพูชา ซึ่งการทำงานของนางสาวปนัดดา เนื่องจากมีงานมากมาย ปัจจุบันทำงานอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ให้นางสาวปนัดดาช่วยตอบโต้ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งตนเองและทีมงานจะสนับสนุนข้อมูลในการแถลงข่าว ด้าน นางสาวปนัดดา ระบุว่า ที่ตกลงมาทำหน้าที่โฆษก ศบ.ทก. จิตอาสาในครั้งนี้ เป็นเพราะตนเองอยู่ในพื้นที่มานานและเห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เห็นความอดทนของทหาร ในฐานะที่เป็นจิตอาสา จึงอยากเป็นสื่อกลางที่ชัดเจน ที่สามารถคุยกับสื่อมวลชนและประชาชน รวมถึงฝ่ายทหารให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริง และบอกกับต่างชาติว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยของเราบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางทหารได้มีการประชุมกัน […]

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]