รัฐบาล เตรียมอัดเงินสู่ระบบ รอลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยงบปี 63

รร.เซ็นทาราแกรนด์ 6 ก.พ.- รัฐบาลเตรียมทางออก อัดเงินสู่ระบบ รอลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยงบปี 63 ศุกร์นี้  คลังศึกษา ออกกองทุน TFF ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน  รอลุ้นศาลรัฐธรรมนูญ ศุกร์นี้ อุตตมอนุมัติรายได้จากการส่งออก นำกลับประเทศ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดแรงกดดันบาทแข็งค่า 


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างร่วมงาน Posttoday Forum 2020 “ถอดรหัสเศรษฐกิจปี 2020” ว่า  ยังคงยืนยันการทำงานเจตนาเดิม 2 ด้าน คือ ด้วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจไม่ถดถอย และสร้างความสมดุลเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ  เมื่อไทยยังเจอมรสุมงบประมาณล่าช้า ปัญหาสงครามเศรษฐกิจจีน-สหรัฐ แต่เชื่อมั่นว่า สหรัฐเลือกตั้งเมื่อไร เศรษฐกิจสหรัฐจะดีขึ้น   สำหรับมรสุมจากปัญหาไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด ขอให้มั่นใจกระทรวงสาธารณสุขจะดูแลป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ จึงไม่อยากให้ตื่นตระหนก แม้ว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เข้ามา จึงอยากผลักดันไทยเที่ยวไทย ท่องเที่ยวกันเอง เพื่อรักษาเศรษฐกิจในประเทศ โดยคลังเตรียมออกมาตรการมาส่งเสริมการท่องเที่ยวเร็วๆนี้ ทั้งชิมช้อปใช้เฟส 4  และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มเติม  

ยอมรับว่า ปัญหาอีกด้านคือ งบประมาณปี 63 คาดว่าอาจทำให้งบประมาณออกสู่ระบบได้ในเดือนพฤษภาคม โดยต้องรอลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในวันศุกร์นี้ จึงเป็นภาระหนักของคลังเพราะเหลือเวลาเงินงบประมาณเพียง 4 – 5 เดือน ในปีนี้ จึงเตรียมแผนสำรองผลักโครงการที่ต้องใช้งบประมาณภายใน 1 ปี  ด้วยการระดมทุนผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน TFF  เพื่อขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน หรือการให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรให้ขายกับประชาชน โดยจ่ายผลตอนแทนดอกเบี้ยสูงกว่าตลาด โดยไม่ต้องอาศัยเงินงบประมาณ หากคลังออกพันธบัตรดอกเบี้ยร้อยละ 3 น่าจะดึงดูดใจ  คาดว่าจะระดมทุนได้ไม่มีปัญหา  และเมื่อ กนง.ประกาศลดดอกเบี้ย ต้องให้ธนาคารช่วยกันลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศช่วงนี้  


ขณะนี้ คลัง สำนักงบประมาณได้กำลังหารือกัน  เพื่อผ่ามรสุม จากวันนี้ไปถึงครึ่งปี แม้งบประมาณใช้จ่ายไม่เต็มที่ ต้องประคองร่วมกัน ไม่ใช่โทษใครถูกใครผิด ทุกฝ่ายต้องเป็นหลักให้คนไทยไม่ตื่นกลัว หากจีดีพีขยายตัวได้น้อยเพียงร้อยละ 2 – 3 ถือว่าดีแล้ว ขณะที่หลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น เยอรมัน คาดการณ์ขยายไม่ถึงร้อยละ 1 ยกเว้น เวียดนาม อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ เพราะกำลังขยายตัวเหมือนกับไทยหลายปีก่อน เมื่อเขตอีอีซีชัดเจน ประกาศให้ชัดว่าศูนย์กลางในภูมิภาคคือ  ไทย  จึงต้องผลักดันโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน รองรับอุตสาหกรรมเข้ามาขยายการลงทุน  

เมื่อตั้งเขตอุตสาหกรรมในเขตอีอีซีแล้ว ต้องสร้างแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก เพื่อดึงคนเข้าไปท่องเที่ยวกรีนปาร์ค ผ่านเรือครูส เรือสำราญขนาดใหญ่ ด้วยการสร้างสตอรี่ต้อนรับการท่องเที่ยว ไทยต้องไม่หยุดนิ่ง  เมื่อเขตอีอีซี สร้างอุตสาหกรรมใหม่ ต้องเร่งรัดประมูล 5 G เพราะเปลี่ยนแปลงการผลิต อุตสาหกรรมที่เข้ามายังเขตอีอีซีต้องใช้ 5 จีทั้งหมด ทำให้หลายค่ายมือถือต่างลงทุนระบบ 5 จี จึงต้องร่วมกันสร้างให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังต้องเติม 4 G เข้าไปด้วย เพราะภาคเกษตรต้องการแปรรูป มีนาคมนี้ ซิลิคอนวัลเล่ย์ เพื่อเข้ามาศูนย์ข้อมูล Big Data  

และสุดท้ายปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ชุมชนในชนบท ยอมรับว่า ภาคเกษตร รายย่อย ยังต้องได้รับการช่วยเหลือ เพราะจีนประสบความสำเร็จค้าขายผ่านออนไลน์ 1 คน คือ 1 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงต้องสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ ค้าขายไปทั่วโลก ขณะนี้ได้เปลี่ยนโมเดลการพัฒนาไปแล้ว รายย่อยเพียง 1 คน ช่วยพัฒนาประเทศได้ การท่องเที่ยวเมืองรอง เช่น พัทลุง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองอันดับหนึ่งของไทย สวนไผ่ขวัญใจ มีนักท่องเที่ยวเข้าไปสูงมากนับหมื่นคนต่อวันช่วงวันหยุด หากสร้างได้แบบนี้ เศรษฐกิจฐานรากจะพึ่งพาตนเองได้ อย่างเช่น  อิตาลี ยอมรับเอสเอ็มอีเข้มแข็งมาก นับว่าเป็นโมเดลตัวอย่างที่ดี แม้เจอปัญหาเศรษฐกิจจะผ่านพ้นไปได้  ส่วนการอภิปรายเป็นเรื่องปกติ รัฐบาลต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล เมื่ออภิปรายแล้วหันกลับมาทำงานร่วมกัน ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย ผมไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ 


นายอุตตม  สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า  ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเจอมรสุมหลายลูก แม้งบประมาณรายจ่ายปี 63 เบิกจ่ายล่าช้า ขอย้ำว่าเงินเดือนราชการ ค่าใช้จ่ายไม่เป็นปัญหา  เพราะ ครม. เห็นชอบให้เบิกจ่ายรายได้ประจำสัดส่วนร้อยละ 75 ของวงเงินทั้งหมด  จึงไม่น่าเป็นห่วง แต่เงินลงทุนยังทำไม่ได้ จึงเตรียมพร้อม โดยช่วงนี้ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญออกบัลลังก์วินิจฉัยงบประมาณรายจ่ายปี 63 ในวันศุกร์ที่ 7 ก.พ.นี้ ขอรอลุ้นคำวินิจฉัยของศาล  กระทรวงการคลังได้เตรียมการเพื่อให้มีเงินลงทุนใหม่โดยเร็วที่สุด เพราะล่าช้าไปนานแล้ว  ขณะที่การลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาวต้องขับเคลื่อน  กรณี กนง.ลดดอกเบี้ย นับว่าเป็นปัจจัยส่งเสริมการลงทุน ต่างชาติมองว่าทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังเข้มแข็ง จึงมีความเชื่อมั่น ขณะนี้รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน  สำหรับการอนุมัติผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้ผู้ส่งออก ขยายวงเงินรายได้จากการส่งออกนำกลับเข้าประเทศ 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ ปรับเพิ่มเป็น 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ส่งออก และลดแรงกดดันต่อเงินบาทแข็งค่า ไม่ต้องรีบเร่งนำเงินกลับเขาประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลเงินไหลเข้าออกในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังเน้นนโยบายการคลัง ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ นโยบายการคลังเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ หวังแก้ปัญหาความยากจน การคลังเพื่อเตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องจัดเตรียมงบประมาณรองรับ ส่งเสริมเอกชนเข้ามาร่วม การออมระยะยาวให้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีพ กระทรวงคลังต้องการสนับสนุนประเทศเติบโตด้วยขีดความสามารถ ยั่งยืน เข้มแข็ง และเติบโตกระจายอย่างทั่งถึงทุกภูมิภาค การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน เมื่อเกิดปัญหาอาการหนักจะคลี่คลายเป็นเบา นโยบายการคลัง จึงต้องเข้ามาดูแล การใช้เครือข่ายแบงก์รัฐและหน่วยงานอื่นมารองรับ เช่น ธ.ก.ส. ร่วมมือผลักดันเกษตรฐานราก ธ.ออมสิน ช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอีแบงก์ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี ขณะที่ ธ.กรุงไทย จัดทำข้อมูล Big Data พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศ เพื่อจัดทำสวัสดิการฯของประชาชน ขยายนโยบายสังคมไร้เงินสด 

สถานการณ์ช่วงนี้ เหมาะสำหรับการขยายการลงทุน  ผู้ประกอบการต้องลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องมือ เครื่องจักร ขยายการลงทุน เพราะหักลดหย่อนภาษี 2.5 เท่าของค่าใช้จ่าย เพื่อปรับเปลี่ยนประเทศ หากจัดสัมมนานำค่าใช้จ่าย หักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ส่วนโรงแรม รีสอร์ท ลงทุนปรับปรุงอาคารที่พัก  หักลดหย่อน 1.5 เท่า และแบงก์รัฐบาลสินเชื่อพิเศษ ช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาไว้รัสโคโรนา พร้อมร่วมมือกับ ธปท. ดูแลเศรษฐกิจร่วมกัน  ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. ต้องทำงานใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนสิ่งใหม่ๆ ตลาดหลักทรัพย์ฯไม่ใช่รอบริษัทพร้อม ออกมาระดมทุน แต่ต้องมองกลับมุม ออกไปช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ปรับมุมมองใหม่ ส่งเสริม ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ ลิสซิ่ง  

นายภากร ปิตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยผ่านวิกฤติปัญหาความผันผวนมาจำนวนมาก ทั้งปัญหาไข้หวัดนก โรคซาร์ วิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่ตลาดหุ้นไทยใช้เวลาพื้นตัวไม่เกิน 10 เดือน  เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง เพราะหนี้สาธารณะยังต่ำสัดส่วนเพียงร้อยละ  41 ของจีดีพี  แม้รัฐบาลจะกู้ยืมเงินเพิ่มเติมช่วงนี้ยังทำได้ไม่กระทบฐานะทางการเงิน สถาบันการเงินของไทยเข้มแข็งมากสัดส่วนทุนสำรองแบงก์สูงร้อยละ 16.8  จากเดิมช่วงที่ผ่านมาเพียง 4-5 ขณะที่บริษัทจดทะเบียน มีศักยภาพในการทำกำไรได้สัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับจีดีพีของกลุ่มอุตสาหกรรม ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน มีปริมาณการซื้อขายมากกว่าสิงคโปร์ 2 เท่า และสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 

ขณะที่หุ้นจดทะเบียนใหม่ในแต่ละปีสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และขนาดมูลค่าเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์  พื้นฐานของตลาดหลักทรัพย์ไทยดังกล่าว  จึงเป็นสิ่งยืนยันสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน และฟื้นตัวเร็วเพื่อเจอวิกฤติต่างๆ บริษัทจดทะเบียนของไทยจึงเติบโต ขยายกิจการต่อเนื่อง มีความหลากหลายในการระดมทุน ทั้งตลาด SET, mai และผลิตภัณฑ์ระดมทุนหลากหลาย  ตลาดหุ้นไทยยังเป็นโอกาสต่อการลงทุนในช่วงทิศทางดอกเบี้ยต่ำ ในปี 2020 จึงยังเป็นโอกาสในการลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทย . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]