นายกฯ ยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจรับคนไทยกลับจากอู่ฮั่น

ทำเนียบ 3 ก.พ.-นายกรัฐมนตรี เผย “ในหลวง” ทรงห่วงคนไทยและคนจีนในฐานะมิตรประเทศ รับมือไวรัสโคโรนา ย้ำรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจเตรียมการพร้อมรับคนกลับ ดูแลช่วงระยะฟักตัว 14 วัน ระบุ สิ่งอันตราย คือ โรคตื่นตระหนก เตรียมคาดโทษรัฐมนตรี -ผู้ว่าฯ หากแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้ จะพิจารณาการทำงาน ยอมรับเหนื่อย แต่ไม่ลาออก


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการระดับชาติแก้ปัญหาไวรัสโคโรนา และ แก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ว่า ทั้งสองเรื่องยังไม่ถึงขั้นตอนที่ต้องใช้อำนาจรัฐมนตรีเต็มรูปแบบ โดยในเรื่องของไวรัสโคโรนา ยังอยู่ในระดับป้องกันการแพร่กระจายในประเทศ รวมถึงการเตรียมมาตรการในการรับกลับ และป้องกันการแพร่กระจาย ในการรับกลับ ซึ่งไทยสามารถตั้งรับได้เป็นอย่างดี จนได้รับคำชมเชย โดยทูตที่มาพบบางคนอยากใช้ประสบการณ์ในการป้องกันโรคอุบัติใหม่ของไทยเป็นต้นแบบ เพราะไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศของโลกสามารถรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา และย้ำว่าสิ่งสำคัญคือประชาชนต้องตื่นตระหนก ดูแลสุขภาพตนเองให้ดีที่สุดส่วนรัฐบาลจะดูแลขั้นพื้นฐานในพื้นที่สาธารณะ รวมไปถึงการคัดกรองในสนามบิน ตามแนวชายแดน โดยอาศัยความร่วมมือ พลเรือน ตำรวจ ทหาร อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขได้มีการติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งได้ขอความร่วมมือรณรงค์ สถานที่ท่องเที่ยว ให้มีการรณรงค์ใส่หน้ากากอนามัย และย้ำว่าหากประชาชนพบตัวเองป่วยก็ให้รีบไปหาหมอ เฝ้าดูอาการโรคนี้ ที่มีระยะฟักตัว 14 วัน รวมไปถึงกรณีที่จะไปรับคนไทยที่เมืองอู่ฮั่น ก็ต้องอยู่ในระยะกักตัว 14 วัน เช่นเดียวกัน ซึ่งก่อนที่จะรับกลับมาต้องผ่านการคัดกรองจากทางการจีน  และขอให้มั่นใจกับมาตรการของไทย ในการดูแลและรับมือ โดยหลังเหตุการณ์นี้ยุติแล้ว ก็จะมีการประชุมสรุปผลการทำงานอีกครั้ง เพราะไทยถือเป็นผู้นำด้านโรคอุบัติใหม่ และต้องเข้มงวดตามสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น เพราะสถานเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ก็ต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น ดังนั้นต้องเตรียมไว้เผื่อเหลือ เผื่อขาด 

นายกรัฐมนครี ยังกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้ คือ โรคตื่นตระหนกโดยขอเตือนการนำเสนอข่าว ให้ระมัดระวัง ควรให้เครดิต ชื่นชมเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงาน เพื่อมีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งหากตื่นตระหนกมาไป ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จะยิ่งบานปลาย ยืนยันว่ารัฐบาาลไม่เคยปิดปังข้อมูลทั้งหมด และไม่พบผู้เสียชีวิตในประเทศไทย สามารถควบคุมได้ รักษาพยาบาลจนหายเป็นปกติได้ และขออย่าไปสร้างความตื่นตระหนกทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ส่วนการติดตามสถานการณ์ ขอให้รับฟังขอมูลจากการแถลงข่าวของคณะกรรมการเท่านั้น พร้อมยืนยันอีกว่า การร้องเรียนเรื่องหน้ากากอนามัยแพง จากการตรวจสอบทางกระทรวงพาณิชย์ก็มีรายงานไม่แพงจนเกินไป ส่วนที่รัฐบาลจะแจกจ่ายให้ประชาชนก็พร้อม 


นายกรัฐมนตรั ยังรู้สึกเสียใจ ที่มีบางกลุ่มหยิบเรื่องนี้ไปขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ของประเทศเลย  

นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่าทางรัฐบาลได้ดำเนินการช่วยเหลือไปยังทางการจีน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนทั้งคนไทย และคนจีน ซึ่งได้ดำเนินการช่วยเหลือผ่านกระทรวงการต่างประเทศไปแล้ว 

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงผลการแก้ปัญหาค่าฝุ่นละออง PM2.5 ว่า รัฐบาลไม่เคยปิดกั้นข้อมูล และข้อมูลที่ได้มาก็นำมาแก้ไข แต่ยอมรับว่าการแก้ปัญหาบางอย่างต้องใช้เวลาระยะยาว เช่น แผนการก่อสร้างรถไฟฟ้า แทนการใช้รถบนถนน การยกเลิกใช้รถเก่า เป็นต้น ซึ่งปัญหาฝุ่นมาจาก การก่อสร้างและการจราจร จึงได้สั่งการแก้ปัญหาไปแล้ว ว่าต้องเข้มงวดขึ้น แต่ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ทั้งนี้การแก้ปัญหาต้องใช้เวลา 


นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่ใช่แก้ปัญหาแค่เรื่องไวรัส และค่าฝุ่น PM 2.5 เท่านั้น ยังมีอีกหลายโรค ที่ต้องดูโดยเฉพาะปัญหาเรื่องทั้ง เฟคนิวส์ เฮดสปีช ซึ่งได้สั่งการเจ้าหน้าที่สืบหหาต้นตอ ดำเนินคดี ให้ได้ แม้จะเป็นปัญหาข้ามชาติ แต่ก็ต้องตรวจสอบให้ได้ เพราะฉะนั้นขอเตือนโซเซียลต่างๆ อย่าทำผิดกฎหมาย ทุกกรณี วันนี้ยังได้ย้ำเตือนไปยัง ผู้ว่าฯทุกจังหวัด ทุกกระททรวง ทุกรัฐมนตรี จะต้องรับผิดชอบทุกเรื่องในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ให้ได้รับผลสำฤทธิ์เร็วที่สุด ต่อไปนี้หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แล้วไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ ตนเองจะพิจารณาความเหมาะสมในการทำงานของทุกคน เพราะรัฐบาลทำงานไม่โทษประชาชน แต่อยากให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของรัฐบาล โดยร่วมมือกันแก้ปัญหา รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ แต่ทุกคนต้องรู้จักป้องกันตนเอง ทั้งปัญหาไฟป่า การเผา และอย่าสร้างข้อมูลที่ขัดแย้งกันไปมา พร้อมฝากด้วยว่าจะเผาอะไรก็แล้วแต่ แต่อย่าเผาบ้านเมืองของท่าน ด้วยการใช้เฟคนิวส์ ซึ่งตนเองไม่เผาเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้มาตรการที่ดำเนินการทั้งหมด ได้สั่งการให้รายงานมายัง ศูนย์ปฎิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือ พีมอค รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง  

นายกรัฐมนตรี ยังขอร้อง บรรดานักพูด นักเกรียน ทั้งหลายว่ามันเท่ตรงไหนที่คอยเขียนคำพูดสร้างความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิด หากถูกดำเนินคดีขออย่ามาโวยวายซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจเผด็จการอะไร ขอทุกคนเข้าใจ เหนื่อย แต่ไม่ลาออก.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

EOD ลุยค้นหาจรวด หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง

13 ส.ค. – EOD ลุยค้นหา-เก็บกู้จรวดในพื้นที่บุรีรัมย์-ศรีสะเกษ หลังชาวบ้านแจ้งเจอต่อเนื่อง ขณะที่คณะ ICRC ลงพื้นที่เก็บข้อมูลผลกระทบเหตุปะทะ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด EOD ลงพื้นที่ตรวจสอบไร่ยางพาราของชาวบ้านและอีกหลายจุด ในเขต ต.สายตะกู อ.บ้านกรวด หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบหลุมต้องสงสัยอยู่ในที่ดินของตัวเอง จากการตรวจสอบพบสะเก็ดระเบิด และอีกหลายจุดพบเป็นหลุมคล้ายหลุมจรวด BM21 ที่ตกลงมา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และต้องใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาอยู่บ้าน ยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์ โดยเฉพาะหลังมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 5 EOD เร่งตรวจสอบ–กู้ระเบิดกระสุนปืนใหญ่ชายแดน ส่วนที่ศรีสะเกษเจ้าหน้าที่ EOD สนธิกำลัง ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีพบกระสุนปืนใหญ่ตกในเขต ต.เสาธงชัย และ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน เบื้องต้นพบ 7 จุด บริเวณสวนยางพาราและใกล้เขตชุมชน โดยส่วนใหญ่เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดตรวจพิสูจน์ พบว่าหลายลูกระเบิดไปแล้ว เหลือเพียงเศษซาก และยังพบอีก 1 จุดในพื้น […]

อึ้งพระอยู่กับสีกา เปิดบนรถเจอกองทิชชูใช้แล้ว

สกลนคร 13 ส.ค. – วงการผ้าเหลืองฉาวอีก ตำรวจตรวจรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง พบพระกับสีกาอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 คุยไปคุยมา สุดท้ายไปจบที่ลาสิกขา หลังตำรวจ สภ.ขมิ้น จ.สกลนคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบรถเก๋งต้องสงสัยสีดำ จอดผิดปกติบริเวณ ริมคลอง บ.พาน ต.ขมิ้น อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อเข้าไปตรวจสอบ ตำรวจต้องอึ้ง เมื่อเจอพระอยู่กับสีกา 2 ต่อ 2 ในรถ ต่อมาทราบว่า คือ พระชัยณรงค์ อายุ 53 ปี สังกัด วัดแห่งหนึ่ง อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงเชิญตัวไปยังวัดใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อทำพิธีลาสิกขา และนำตัวมาตรวจปัสสาวะ ผลไม่พบสารเสพติด แต่รถที่พระเเละสีกาดังกล่าวอยู่ด้วยกัน พบเป็นรถที่ถูกสวมทะเบียน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ คืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ขมิ้น พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่บริเวณสถานที่เก็บของกลาง กระจกด้านข้างและด้านหลังติดฟิล์มดำสนิท แต่ด้านหน้าฟิล์มใสมองเห็นถึงภายใน ที่เบาะนั่งข้างคนขับ ยังพบกองจีวรของทิดชัยณรงค์ […]

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สุรินทร์ 13 ส.ค. – กระแสข่าวจากหลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าระยะ 2 วันนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเพิ่มความตึงเครียด สุ่มเสี่ยงที่จะมีการปะทะรอบ 2 ฝ่ายปกครอง จ.สุรินทร์ จึงแจ้งเตือนไปยังกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ให้ลูกบ้านเตรียมพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉิน ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศ ในหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือน พบว่า หลายครอบครัวเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ 1-2 วัน หลังอพยพหนีภัยการสู้รบในห้วงวันที่ 24 – 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง แจ้งให้เตรียมความพร้อม เก็บสัมภาระไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงการปะทะ รอบ 2 ซึ่งอาจรุนแรงมากกว่ารอบแรก ทำให้ชาวบ้านหลายคนต่างตื่นตระหนก ต้องการอพยพไปอยู่นอกพื้นที่ แต่เมื่อผู้นำหมู่บ้านทำความเข้าใจ ก็คลายความกังวลลงบ้าง โดยสื่อสารข้อความจากนายอำเภอพนมดงรักว่า รอให้มีเสียงปะทะกันเกิดขึ้นก่อน จึงให้อพยพ ซึ่งชาวบ้านก็เชื่อฟัง เพราะส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ไหน เพราะยังไม่มีการเปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว ขณะที่หญิงคนหนึ่งติดอยู่ในพื้นที่สู้รบ ใกล้กลุ่มปราสาทตาเมือนตลอดห้าวัน เพราะเป็นห่วงวัวที่เลี้ยงไว้ จึงอาศัยอยู่ในกระต๊อบพร้อมญาติรวมสี่คน และประเมินสถานการณ์ว่า น่าจะปลอดภัย เพราะวิถีกระสุนไปตกไกลกว่า จึงได้ยินเสียงปะทะอย่างชัดเจน […]

คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำ ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัว

มุกดาหาร 13 ส.ค.- คุมตัว “ลุงพล” ส่งเรือนจำมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา หลังศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่ จากกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาเพิ่มโทษให้จำคุก “ลุงพล” 26 ปี ฐานเจตนาฆ่าเด็ก พรากผู้เยาว์ และอำพรางศพ ขณะที่ “ป้าแต๋น” พิพากษายืนยกฟ้อง ในคดีฆาตกรรม น้องชมพู่ ทั้งนี้ภายหลัง ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ “ลุงพล” ได้ยื่นขอประกันตัว โดยศาลจังหวัดมุกดาหาร เสนอไปยังศาลฎีกา ล่าสุด ช่วงเย็นที่ผ่านมา ศาลฎีกายังไม่มีคำตอบลงมาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ทำให้ “ลุงพล” ถูกคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างรอคำสั่งขอประกันตัวจากศาลฎีกา ย้อนไปคดีนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ วัย 3 ขวบ หายไปจากบ้านพักภาย ในหมู่บ้านกกกอก ทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต รวมถึง ตัวลุงพล ช่วยกันออกตามหา […]