สระแก้ว 1 ก.ย. – กองกำลังบูรพา รวบชาวจีน-ชาวกัมพูชา ลอบข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ขณะที่ ตม.สระแก้ว ยืนยันด่านคลองลึก ยังปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ยกเลิกช่องอนุโลมคนไทย-คนเขมรตกค้าง
หลังมีข่าวในโลกโซเชียลว่า ด่านพรมแดนคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จะเปิดช่องผ่อนผันข้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เพื่ออนุโลมให้คนกัมพูชาที่ตกค้างในประเทศไทย และคนไทยที่ตกค้างอยู่ในฝั่งกัมพูชา สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาบ้านเกิดได้ เฉพาะวันพุธและวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น. ส่วนจุดผ่านแดนอื่นๆ ยังคงปิดตามปกติ
เช้าวันนี้ (1 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยได้เดินทางไปตรวจสอบที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก พบว่าบริเวณ หน้าด่าน ตม.อรัญประเทศ ยังคงปิดประตูด่าน โดยมีโซ่คล้องกุญแจไว้อย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับฝั่งกัมพูชา

ขณะที่ตรวจคนเข้าเมือง จ.สระแก้ว ยืนยันด่านพรมแดนคลองลึก ยังคงปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) เป็นวันสุดท้ายที่กองทัพภาคที่ 1 อนุโลมผ่อนผันเปิดช่องทางชั่วคราว ซึ่งเป็นประตูเล็กข้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา อนุโลมให้ชาวกัมพูชาที่ตกค้างในประเทศไทย และชาวไทยที่ตกค้างในกัมพูชา สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาได้ตามหลักมนุษยธรรมเท่านั้น ยืนยัน ตม.สระแก้ว ไม่มีอำนาจในการเปิด-ปิดด่านพรมแดน เพราะอยู่ในสถานการณ์การใช้กฎอัยการศึก พร้อมขอโทษประชาชนที่มีส่วนทำให้เกิดความสับสน
กองกำลังบูรพารวบชาวจีน-ชาวกัมพูชา ลอบข้ามพรมแดน
ขณะที่กองกำลังบูรพา จับกุมชายชาวจีน 3 คน กำลังเดินเท้าอยู่บริเวณช่องทางธรรมชาติ ใกล้หมู่บ้านโนนขี้เหล็ก ห่างจากแนวชายแดนเพียง 500 เมตร สอบสวนเบื้องต้นทราบว่าเดินทางมาจากประเทศกัมพูชา และต้องการเข้ามาในประเทศไทย แต่ไม่มีหนังสือเดินทางและเอกสารใดๆ
ขณะเดียวกันยังพบกลุ่มแรงงานชาวกัมพูชาอีก 16 คน กำลังซ่อนตัวอยู่ในไร่อ้อยใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มนี้ให้การว่าตั้งใจจะลักลอบเข้าประเทศไทยเพื่อเดินทางไปทำงานรับจ้างใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีเพียงหนังสือเดินทางเท่านั้น
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบกลุ่มคนไทย 5 คน กำลังเดินเท้าอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเช่นกัน โดยกลุ่มนี้อ้างว่าต้องการเดินทางข้ามแดนกลับไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อไปสแกนใบหน้าสำหรับเปิดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) และไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารแสดงตนให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จึงควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 กลุ่ม ส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.คลองน้ำใส ดำเนินคดี
พบทหารกัมพูชาลอบวางระเบิดใกล้ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์
ขณะที่วันนี้ (1 ก.ย.) กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 68 เวลาประมาณ 11.50 น. กองร้อยอาวุธเบาที่ 1 กองพันทหารราบที่ 27 ตรวจพบการวางกับระเบิดแสวงเครื่องในลักษณะใช้ลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดประกอบกับการใช้ลวดสะดุดของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย ห่างจากเนิน 350 ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ใกล้กับบริเวณแนวการวางลวดหนามป้องกันตนเองในเขตไทย
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การกระทำและหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการใช้กับระเบิดแสวงเครื่อง เป็นอาวุธลอบโจมตีทหารไทยโดยหวังผลให้เกิดอันตรายถึงชีวิตในดินแดนของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการกระทำยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกัน การกระทำดังกล่าวยังย้อนแย้งกับท่าทีที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือนต่อประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้รักสันติและยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง ทั้งที่ข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ ที่พบยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง รวมทั้งอนุสัญญาออตตาวามาโดยตลอด
ชี้กัมพูชาใช้ข้อตกลงหยุดยิงสร้างภาพ แต่การกระทำตรงข้าม
ส่วนที่หัวหน้าโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ออกมายืนยันว่ากัมพูชายังคงยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงและกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ประเทศไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง หลีกเลี่ยงการยั่วยุที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งนั้น โฆษกกองทัพบก ระบุว่า กัมพูชาไม่ควรนำข้อตกลงหยุดยิงมาใช้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างภาพทางการสื่อสาร เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากนานาชาติ ขณะที่พฤติกรรมที่ปรากฏกลับขัดแย้งกับสิ่งที่กล่าวอ้าง โดยภายหลังการหยุดยิง ฝ่ายกัมพูชายังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามหลบสายตาสังคมโลก อาทิ การลอบวางทุ่นระเบิด, การใช้โดรนในการเข้ามาก่อกวนและตรวจสอบการวางกำลังของฝ่ายไทย, การปลุกระดมประชาชนให้ออกมาเคลื่อนไหว สร้างภาพเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสายตาชาวโลก และล่าสุดพบการใช้ระเบิดแสวงเครื่องซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงมากกว่าทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการบิดเบือนข่าวสารเพื่อต้องการให้ร้ายประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เก็บหลักฐาน รพ.พนมดงรัก ถูกกระสุนปืนใหญ่กัมพูชา
กองทัพบก ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบและเก็บหลักฐานจากเหตุการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 จำนวน 3 นัด ส่งผลให้อาคารหลายหลังได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะอาคารภูมิพัฒน์ และอาคารศูนย์สุขภาพชุมชนพระครูอาภัสธรรม (หลวงตารอด) ซึ่งเป็นอาคารห้องตรวจครรภ์มารดาก่อนคลอด จนต้องอพยพผู้ป่วยไปยังพื้นที่ปลอดภัยเป็นการฉุกเฉิน.-สำนักข่าวไทย