กรุงเทพฯ 14 ธ.ค.-สหรัฐ-จีน ตกลงค้าเฟสแรกได้แล้วคาดส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย หลังตลาดน้ำมันและหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นขานรับข่าวดี
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าเข้าใกล้แนว 30.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค นำโดย เงินหยวนของจีน หลังจากมีรายงานข่าวระบุว่าสหรัฐฯ และจีนใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงหรือดีลการค้าเฟสแรกระหว่างกัน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงเทขายอย่างหนักหลังเฟดส่งสัญญาณภายหลังการประชุมรอบนี้ว่า จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าหากไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้สถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่หนุนเงินบาทเช่นกัน โดยในวันศุกร์ (13 ธ.ค.) เงินบาทอยู่ที่ 30.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 30.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (6 ธ.ค.)
ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นกลับมาปิดปลายสัปดาห์ที่ 1,573.91 จุด (จากระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่งที่ 1,546.51 จุด) โดยดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 0.96% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 54,486.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.80% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้น 0.32% จากสัปดาห์ก่อน มาปิดที่ 314.89 จุด
ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มขนส่งและค้าปลีกสวนทางกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นหลังข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เดือนพ.ย. ออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา หลัง S&P Global Ratings ปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเป็น “เชิงบวก” จาก “มีเสถียรภาพ” ขณะที่ สัญญาณเชิงบวกซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ และจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์
สัปดาห์ถัดไป (16-20 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 30.10-30.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,550 และ 1,525 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,585 และ 1,600 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของกนง. (18 ธ.ค.) สถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมถึงประเด็น Brexit ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/62 (final) ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ย. และดัชนี PMI Composite (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ดัชนี PMI Composite (เบื้องต้น) เดือนธ.ค.ของญี่ปุ่นและยูโรโซน รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ของจีน
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (13 ธ.ค. )ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่า สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน และสหรัฐจะไม่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวันที่ 15 ธ.ค. โดยสหรัฐจะยังคงเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ และเก็บภาษี 7.5% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนได้ตกลงที่จะทำการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหลายประการ และจะเพิ่มการซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน และสินค้าในภาคการผลิตของสหรัฐ
ข้อตกลงทางการค้าที่ได้ข้อยุติดดังกล่าว ส่งผลให้วานนี้ (13 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,135.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.33 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,168.80 จุด เพิ่มขึ้น 0.23 จุด หรือ +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,734.88 จุด เพิ่มขึ้น 17.56 จุด หรือ +0.20%สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 60.07 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 65.22 ดอลลาร์/บาร์เรล –สำนักข่าวไทย