เร่งสรุปแนวทางเยียวยาเกษตรกรกระทบ 3 สาร

กรุงเทพฯ 24 พ.ย. – เกษตรฯ เร่งสรุปแนวทางเยียวยาเกษตรกรจากการยกเลิก 3 สาร ยันกรมวิชาการเกษตรเตรียมเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไป 6 เดือน



นายอนันต์ สุวรรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่าคณะทำงานฯ จะเสนอของบประมาณเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจก 6 ชนิด ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพด และไม้ผลสูงถึง 33,000 ล้านบาท ว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ตัวเลขดังกล่าวสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประเมินต้นทุนเกษตรกรหากยกเลิกใช้ 3 สารแล้วต้องปรับเปลี่ยนไปใช้สารอื่นและเครื่องจักรกลการเกษตรแทนแล้วรายงานมาให้ทราบ ไม่ใช่เป็นข้อสรุปว่า กระทรวงเกษตรฯ จะของบประมาณจากรัฐบาล 33,000 ล้านบาท ไปจ่ายเป็นค่าชดเชยแก่เกษตรกร ทั้งนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสม เพื่อประชุมอีกครั้งต้นสัปดาห์ เมื่อได้ข้อสรุปจะต้องนำเสนอนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิจารณาต่อไป


นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรยังประเมินระยะเวลาการดำเนินการกับสารเคมี 3 ชนิด ทั้งการแจ้งการครอบครองและการจัดเก็บ หากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรรมเรื่อง การปรับสถานะ 3 สารเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ธันวาคม ตามขั้นตอนกรมวิชาการเกษตรต้องเปิดรับแจ้งการครอบครองภายใน 15 วัน และต้องให้ผู้ครอบครองนำมาส่งมอบภายใน 15 วันหลังการแจ้ง ซึ่งเหลือเวลาเพียง 8 วันนั้นกระชั้นชิดมาก ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการนำเข้าและผลิต และร้านจำหน่ายตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งกระบวนการจัดการกับสารเคมี 3 ชนิด ซึ่งมีอยู่เกือบ 30,000 ตันนั้น กรมวิชาการเกษตรระบุว่าต้องใช้เวลาถึง 6 เดือน จึงจะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายยกเลิกออกไป 6 เดือน แต่การพิจารณาขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตราย

“คณะทำงานฯ ของกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาเรื่องการส่งสารเคมีคงค้างกลับคืนบริษัทและส่งไปประเทศที่ 3 เพื่อลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วนและลดค่าใช้จ่ายในการทำลาย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรรายงานว่า หากสารเคมีทั้ง 3 ชนิดยังอยู่ในรูปแบบสารตั้งต้นสามารถส่งคืนและส่งออกได้ แต่หากผู้ประกอบการนำมาผสมเป็นสูตรที่ปรับให้เหมาะต่อการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชของไทยแล้ว ไม่สามารถจะส่งคืนบริษัทหรือส่งไปประเทศอื่นได้ ดังนั้น ปริมาณสตอกคงค้างจึงจะยังมีอยู่มากต้องใช้เวลาในการจัดเก็บและทำลาย” นายอนันต์ กล่าว

นายอนันต์ กล่าวอีกว่า สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มอกช.) รายงานว่าขณะนี้ประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา และสหรัฐอเมริกาทำหนังสือมาถึง เพื่อให้ไทยชี้แจงรายละเอียดการยกเลิก 3 สาร หากยกเลิกจริงตามระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) ไทยจะต้องนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าการตกค้างของสารเคมีที่ยกเลิกนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจริง เนื่องจากหากไทยปรับสถานะพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามนำเข้า ส่งออก ผลิต นำผ่าน และครอบครอง ประเทศคู่ค้าจะไม่สามารถส่งสินค้าเกษตรมายังไทยได้เนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคงใช้สาร 3 ชนิด แต่มีค่าตกค้างตามคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร (Codex; Joint FAO/WHO Food Standards Programme) หรือแม้จะตรวจสอบพบว่าค่าตกค้างต่ำกว่า Codex แต่ตามกฎหมายกระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่า การตกค้างของอันตรายทางการเกษตรชนิดที่ 4 ต้องมีค่าเป็น 0 (zero tolerance) ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นความเดือดร้อนของเฉพาะประเทศคู่ค้าจากการไม่สามารถส่งสินค้ามาจำหน่ายในไทยได้ แต่ไทยจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแปรรูปเป็นอาหารและอาหารสัตว์ด้วย หากไม่สามารถนำเข้าได้อุตสาหกรรมต่อเนื่องภาคการเกษตรจะหยุดชะงัก เกิดวิกฤตการขาดแคลนอาหาร ตลอดจนไม่มีสินค้าส่งออกเป็นผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ต้องพิจารณาผลกระทบทุกด้านอย่างรอบคอบเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป


ด้าน น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการนำเข้าและผลิตสารเคมีทั้ง 3 ชนิด เพื่อส่งไปบริษัทผู้ผลิตและประเทศที่ 3 แล้ว ทั้งนี้ จะช่วยลดปริมาณสตอกคงค้างในประเทศก่อนที่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกใช้ 3 สารมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ธันวาคมทันที  โดยใบขึ้นทะเบียนนำเข้าและครอบครองวัตถุอันตรายมีทั้งหมด 60 ฉบับ ปริมาณ 2,829,913 ลิตร ประกอบด้วย พาราควอตไดคลอไรด์ 5 ฉบับ ปริมาณ 1,480,000 ลิตร ไกลโฟเซต-ไอโซโพรพิลแอมโมเนียม 2 ฉบับ ปริมาณ 9,552 ลิตร คลอร์ไพริฟอส + ไซเพอร์เมทริน 1 ฉบับ ปริมาณ 12,480 ลิตร คลอร์ไพริฟอส 1 ฉบับ ปริมาณ 13,860 ลิตร และสารชนิดอื่น 51 ฉบับ ปริมาณ 1,314,021 ลิตร ดังนั้น ปริมาณสารเคมีทางการเกษตรที่คณะกรรมการวัตถอันตรายมีมติปรับให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 รวม 1,515,892 ลิตร.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

คะแนนไม่เป็นทางการ เลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ

ลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช นับเสร็จแล้วบางหน่วย ล่าสุด ณ เวลา 19.40 น. “วาริน ชิณวงศ์” เบอร์ 2 จากทีมนครเข้มแข็ง ชนะคู่แข่งขาดลอยในหลายหน่วย คะแนนทิ้งห่างแชมป์เก่า “กนกพร เดชเดโช” เบอร์ 1 จากพรรค ปชป.

“ทนายสายหยุด” จ่อถอนตัวคดีตั้ม หวั่นติดร่างแห

“ทนายสายหยุด” เตรียมถอนตัวเป็นทนายให้ “ตั้ม” เผยในมือมีแต่พยานเท็จ ปิดบังข้อเท็จจริง เสี่ยงเป็นผู้ร่วมกระทำผิด

ข่าวแนะนำ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ