ปัตตานี 26 ต.ค.- “พล.อ.ประวิตร” เป็นประธานในพิธีทอดกฐินวัดช้างไห้ วัดเก่าแก่ในปัตตานี หลังปฏิบัติภารกิจที่ยะลาติดตามงานพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ตามนโยบายของรัฐบาลและประสบความสำเร็จหลายโครงการ
เมื่อเวลา 13.00 น. (26 ต.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เป็นประธานในพิธีทอดกฐินสามัคคีตามประเพณีไทยหลังเทศกาลออกพรรษา ณ วัดราษฎร์บูรณะ หรือวัดช้างไห้ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี พร้อมปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา
สำหรับวัดช้างไห้เป็นวัดเก่าแก่ มี “หลวงปู่ทวด” อดีตเกจิดัง ที่ประชาชนทั่วสารทิศเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก จากคำเล่าขานกันว่าเกิดเรื่องราวอัศจรรย์มากมาย โดยเฉพาะเป็นที่รู้จักกันดี “เหยียบน้ำทะเลจืด” และปัจจุบันวัดช้างไห้ยังมีพุทธสนิกชนหลั่งไหลมาสักการะขอพรอยู่ตลอด ยิ่งช่วงเทศกาลจะเนืองแน่นเป็นพิเศษ
ส่วนช่วงเช้าวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ได้ไปติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ศูนย์ราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ จ.ยะลา และได้แถลงในประเด็นการลงพื้นที่ติดตามงานพัฒนาว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่นำไปปฏิบัติในพื้นที่เกิดเป็นผลสำเร็จหลายโครงการ รวมทั้งมีการวางแผนเตรียมไว้เพื่อดำเนินการในระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านโครงการปลูกพืชเศรษฐกิจร่วมกับแปลงเกษตรเดิม เช่น ส่งเสริมการปลูกไผ่ ปลูกไม้เศรษฐกิจตามมติคณะรัฐมนตรี ปลูกพืชกาแฟ พืชอัตลักษณ์ รวมทั้งงานปศุสัตว์ที่สำคัญในพื้นที่ ได้มีข้อสั่งการไปแล้ว ให้เดินหน้าเต็มกำลังสุดความสามารถ ซึ่งก็มีภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการพัฒนาคุณภาพและการตลาดที่สำคัญ ส่วนการพัฒนาสังคมจะเร่งรัดการแก้ปัญหายาเสพติด การป้องกันและการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
“วันนี้เราต้องร่วมมือกันเต็มที่เพื่อคืนลูกหลานให้กับพ่อแม่และครอบครัว พร้อมกับการเดินหน้าเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ผู้นำศาสนาและสถานศึกษาเพื่อมีส่วนร่วมการป้องกันยาเสพติด การแก้ปัญหาโรคระบาดที่สามารถป้องกันได้ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน และการขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมใจกันสืบสาน รักษา ต่อยอดให้เป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว”.-สำนักข่าวไทย