“ธนาธร” หงุดหงิดหลังถูกศาลซักคดีหุ้นสื่อ

ศาลรัฐธรรมนูญ 18 ต.ค.-“ธนาธร” หงุดหงิดระหว่างเบิกความคดีหุ้นสื่อวี-ลัค มีเดีย ยืนยันโอนจริง หลังตัดสินใจเล่นการเมือง ระบุครอบครัวมีเงิน  ไม่จำรายละเอียดให้ภรรยาทำแทน ขู่ฟ้องกกต.หลังคสช.หมดอำนาจ ยกตัวไม่เหมือน“ทักษิณ” ตั้งใจทำการเมือง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน


 ตุลาการรัฐธรรมนูญนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)  เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส.หรือไม่ โดยศาลอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปากว่า ต้องการทราบว่าการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่ ซึ่งพยานทั้ง 10 ปากเป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังการโอนหุ้น 

นายธนาธร  ให้การเป็นพยานปากแรก ซึ่งศาลซักเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัท การประกอบธุรกิจสื่อของบริษัทวี-ลัค มีเดีย และถ้าจะเลิกบริษัทต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งนายธนาธรชี้แจงว่าโอนหุ้น 675,000 หุ้นให้กับนางสมพรวันที่ 8 มกราคม 2562  โดยก่อนจะชื่อบริษัท วี -ลัค มีเดียเคยใช้ชื่อบริษัทโซอิด ส่วนจะถือว่าบริษัทประกอบกิจการสื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใด ๆ ในบริษัท เป็นเพียงผู้ถือหุ้น และหลังจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว การดำเนินธุรกิจซึ่งต้องอนุญาตตามพ.ร.บ.การพิมพ์ เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารจะจัดการ  ตนไม่เคยเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้อง เพิ่งเข้ามาช่วง 4-5 ปีหลัง


“เนื่องจากหลังแต่งงาน มารดาอยากให้ลูกหลานและสะใภ้มีงานทำ นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของผมซึ่งเคยลาออกจากงานธนาคารมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกเติบโตขึ้น ทำให้ภรรยาของผมว่างงาน  นางสมพรจึงชวนให้เข้ามาบริหารบริษัทวี-ลัคมีเดีย จึงเป็นที่มาของการซื้อหุ้น ส่วนหลังเลิกกิจการวี-ลัคมีเดียแล้วต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานการพิมพ์ ผมไม่ทราบหลักการและไม่เคยยุ่งกับกิจการบริษัทนี้” นายธนาธร กล่าว 

จากนั้น ศาลซักถามถึงเหตุผลการกำหนดให้วันที่ 8 มกราคม 2562 เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่ในวันดังกล่าวมีภารกิจหาเสียงในจ.บุรีรัมย์ นายธนาธร ชี้แจงว่า วันดังกล่าวไม่ใช่วันพิเศษ ครอบครัวตนมีบริษัทจำนวนมาก เมื่อสนใจเข้ามาทำงานการเมือง จึงลาออกจากทุกตำแหน่งในภาคธุรกิจ เริ่มต้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 ยืนยันว่าจำไม่ได้ว่า มีตารางนัดลงพื้นที่หาเสียงก่อนหรือนัดเซ็นโอนหุ้นก่อน แต่ตนมีปฏิทินการทำงานว่าช่วงใดจะลงพื้นที่ภาคใด และโดยปกติตนสามารถทำงาน 2 อย่างได้ภายในวันเดียวกัน   ตอนทำงานในภาคธุรกิจทำงานหนักกว่านี้  


“การเดินทางไปหาเสียงที่จ.บุรีรัมย์แล้วต้องกลับมาเซ็นโอนหุ้นที่กรุงเทพฯ  เดิมผมวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจากจ.อุบลราชธานี  แต่เวลาที่ใช้เดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ไปจ.อุบลฯ ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เมื่อรวมกับเวลานั่งเครื่องบิน จึงเห็นว่าใช้ ไม่ต่างจากการขับรถกลับบ้านโดยตรง อีกทั้งผมเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์ เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย หากต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องพบเจอและทักทายผู้คน อาจทำให้ไม่ได้พักผ่อน และไม่เป็นส่วนตัว จึงยอมนั่งรถดีกว่า โดยออกจากจ.บุรีรัมย์เวลา 11.00 น. และนั่งรถยนต์มากับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ไม่มีพยานอื่น ๆ เดินทางกลับมาด้วย และระหว่างเดินทางไม่ได้โทรศัพท์พูดคุยหรือติดต่อกับใครเลย เพราะนัดหมายกับทนายความไว้แล้วเวลา 17.00 น.” นายธนาธร กล่าว 

ศาลซักถามถึงเงินที่ได้รับจากการโอนขายหุ้นวี-ลัค มีเดียว่านำเช็คกว่า 6 ล้านบาทไปขึ้นเงินอย่างไร  นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ แม้จะเป็นเช็คที่มีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท  ไม่ว่าจะเป็นเช็คใบไหน เซ็นวันไหน เพราะตนมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด และไม่แน่ใจว่าแม่และภรรยาของตนจะไปส่งมอบเช็คกันอย่างไร จะเข้าบัญชีวันไหน แม้แต่เช็คที่ตนได้รับจากการไปร่วมสัมมนาก็มอบให้ภรรยาจัดการ ตนไม่เคยจับแม้แต่สมุดบัญชี ส่วนประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคม ตนไม่เคยถามและไม่เคยรู้  อาจเป็นเพราะครอบครัวไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางครั้งเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้า เป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ 

ต่อมาศาลซักถามว่า ขณะที่ได้รับหุ้นวีลัค-มีเดีย  675,000 หุ้นในปี 2551 ซื้อมาหรือได้มาโดยเสน่หา นายธนาธร กล่าวว่า ตนซื้อมาในราคาพาร์ แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากใคร อาจะเป็นการซื้อหุ้นจากนางสมพร และจำไม่ได้ว่าหลังซื้อหุ้นมาแล้วได้ไปจดแจ้งไปที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือไม่ ส่วนการนัดโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 นั้น มีการนัดหมายล่วงหน้านานเท่าไร ตนจำไม่ได้ โดยเมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี 2560 ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งต้นปี 2561  

“ในเดือน ม.ค.62 ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน  โดยพ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ประกาศในช่วงปลายเดือนมกราคม เวลาที่เหมาะสมวันไหน เราก็นัดวันนั้น  เนื่องจากครอบครัวของผมมีกิจการหลายบริษัท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2562 ได้ทยอยก็ทำมาเรื่อย ๆ วันที่ 8 ม.ค.62 จึงไม่ใช่วันสำคัญอะไร  เพราะทำมาอย่างต่อเนื่อง ธุรกรรมสุดท้ายคือเดือนเม.ย. ผมไม่ได้โอนเฉพาะหุ้นวี-ลัค มีเดีย เพราะมีหุ้นอยู่ 30 บริษัท ผมทำธุรกิจมา 20 ปี ซื้อขายหุ้นไทยและต่างชาติเป็นร้อย ๆ ครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ผมไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยตัวเอง เมื่อเซ็นจบคือจบ ที่เหลือเป็นเรื่องของธุรการของบริษัท สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหลังเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ผมก็ไม่เคยดูเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ธุรการ ผมไม่เคยแม้แต่ถือกลับบ้าน” นายธนาธร กล่าว

จากนั้นฝ่ายกกต.ผู้ร้องได้ซักถามถึงนางลาวัลย์ จันทร์เกษมและนางกานต์ฐิตา อ่วมขำ ซึ่งร่วมเป็นพยานในเอกสารโอนหุ้น  นายธนาธร กล่าวว่า ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารของ บ.วีลัค-มีเดีย เพราะตกลงกับภรรยาว่าชีวิตครอบครัวกับหน้าที่การงานไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน สามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันทะเลาะกันจะมีปัญหาครอบครัว ดังนั้นคนที่บริษัทไทยซัมมิทจะไม่เคยเห็นภรรยาของตนเข้าไปบริหาร  เช่นเดียวกับพนักงานบริษัทวีลัค-มีเดียจะไม่เคยเห็นตนเข้าไปบริหาร

“แม้จะหารือกับผู้ถือหุ้นเตรียมเลิกกิจการและเตรียมเลิกจ้างพนักงานวีลัค-มีเดีย แต่ยังทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ผลิตนิตยสารจิ๊บจิ๊บกับสายการบินนกแอร์ เนื่องจากเป็นสัญญาจ้างผลิตที่ทำกันไว้ล่วงหน้า ส่วนประเด็นที่กิจการขาดทุนมีหนี้ค้างชำระ 10 ล้านบาท  แต่ยังมีการโอนขายหุ้นไปมานั้น ตนไม่ทราบ และไม่เคยยุ่งเกี่ยว ภารกิจจบไปตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.62” นายธนาธร ชี้แจง

เมื่อถูกซักถามว่าเหตุใดจึงไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ กล้ากาญ คนขับรถเป็นพยานบุคคล ในชั้นการชี้แจงกับกกต. นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบจะตอบคำถามนี้อย่างไร ประเด็นจากจ.บุรีรัมย์มากรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะผมตอบคำถามนักข่าวผิดเพียงครั้งเดียว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เรามีทั้งใบสั่งและอีซีพาส เวลาสัมพันธ์กันหมดทุกช่วงเวลา แต่คนที่จะจัดการว่าใครควรเป็นพยาน คือทนายความ และว่า “41 ปีในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามานั่งหน้าบัลลังก์  ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีคดีเลย”

เมื่อถูกถามย้ำถึงการจดแจ้งเลิกกิจการบ.วี-ลัค มีเดีย  อย่างเป็นทางการ”   นายธนาธร กล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้ 

ต่อมาทนายความของนายธนาธรได้ซักถามเพื่อให้นายธนาธร  ชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร  นายธนาธรกล่าวว่า กกต.มีเอกสารเรียกตนและนางสมพรไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านในช่วงบ่าย ตนไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้ และอยากให้ศาลพิจารณาว่าขณะที่กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของกกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของตนในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์  

“ผมขอสงวนสิทธิ ถ้าคสช.หมดอำนาจ ผมจะดำเนินคดีกกต. ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่อผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตรโดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบายทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่ต้องเข้ามาเพราะเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะผมอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้”นายธนาธร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการไต่สวนนายธนาธรได้แสดงอาการหงุดหงิดหลายครั้ง ทั้งเรื่องที่ศาลซักว่าทำไมไม่รู้จำนวน เงินค่าตอบแทนหุ้นทำไมไม่ทราบว่าภรรยานำเช็คไปขึ้นเงินเมื่อไหร่ และก่อนไปจ.บุรีรัมย์อยู่ที่ไหน และที่นายธนาธรแสดงอารมณ์มากที่สุดคือเมื่อเจ้าหน้าที่กกต.สอบถามว่าทำไมให้นางลาวัลย์และนางกานต์ฐิตามาเซ็นเป็น พยานในการโอนหุ้น ซึ่งนายธนาธรย้อนถามว่า “แล้วจะให้ผมชวนคุณมาเป็นพยานหรือ ผมรู้จักคุณหรือ รวมทั้งกรณีเจ้าหน้าที่กกต.ถามว่าทำไมไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ คนขับรถเป็นพยานตั้งแต่ในชั้นการชี้แจงกับกกต. ซึ่งศาลได้แสดงความเห็นด้วย โดยระบุว่าเป็นพยานสำคัญที่จะยืนยันว่าในวันดังกล่าวนายธนาธรอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จะเพิ่มน้ำหนักคำให้การมากขึ้นเหมือนกับตุลาการถูกกล่าวหาว่ายิงคนตายแล้ว เวลานั้นมีประธานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วยก็สามารถตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญช่วยยืนยันได้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

คะแนนไม่เป็นทางการ เลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ

ลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช นับเสร็จแล้วบางหน่วย ล่าสุด ณ เวลา 19.40 น. “วาริน ชิณวงศ์” เบอร์ 2 จากทีมนครเข้มแข็ง ชนะคู่แข่งขาดลอยในหลายหน่วย คะแนนทิ้งห่างแชมป์เก่า “กนกพร เดชเดโช” เบอร์ 1 จากพรรค ปชป.

“ทนายสายหยุด” จ่อถอนตัวคดีตั้ม หวั่นติดร่างแห

“ทนายสายหยุด” เตรียมถอนตัวเป็นทนายให้ “ตั้ม” เผยในมือมีแต่พยานเท็จ ปิดบังข้อเท็จจริง เสี่ยงเป็นผู้ร่วมกระทำผิด

ข่าวแนะนำ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ