“ธนาธร” หงุดหงิดหลังถูกศาลซักคดีหุ้นสื่อ

ศาลรัฐธรรมนูญ 18 ต.ค.-“ธนาธร” หงุดหงิดระหว่างเบิกความคดีหุ้นสื่อวี-ลัค มีเดีย ยืนยันโอนจริง หลังตัดสินใจเล่นการเมือง ระบุครอบครัวมีเงิน  ไม่จำรายละเอียดให้ภรรยาทำแทน ขู่ฟ้องกกต.หลังคสช.หมดอำนาจ ยกตัวไม่เหมือน“ทักษิณ” ตั้งใจทำการเมือง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน


 ตุลาการรัฐธรรมนูญนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็นส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)  เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย เข้าลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส.หรือไม่ โดยศาลอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปากว่า ต้องการทราบว่าการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย ของนายธนาธรให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่ ซึ่งพยานทั้ง 10 ปากเป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังการโอนหุ้น 

นายธนาธร  ให้การเป็นพยานปากแรก ซึ่งศาลซักเรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัท การประกอบธุรกิจสื่อของบริษัทวี-ลัค มีเดีย และถ้าจะเลิกบริษัทต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานหรือไม่ ซึ่งนายธนาธรชี้แจงว่าโอนหุ้น 675,000 หุ้นให้กับนางสมพรวันที่ 8 มกราคม 2562  โดยก่อนจะชื่อบริษัท วี -ลัค มีเดียเคยใช้ชื่อบริษัทโซอิด ส่วนจะถือว่าบริษัทประกอบกิจการสื่อหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตีความ แต่ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใด ๆ ในบริษัท เป็นเพียงผู้ถือหุ้น และหลังจดทะเบียนตั้งบริษัทแล้ว การดำเนินธุรกิจซึ่งต้องอนุญาตตามพ.ร.บ.การพิมพ์ เป็นเรื่องที่กรรมการบริหารจะจัดการ  ตนไม่เคยเข้าไปรู้เห็นเกี่ยวข้อง เพิ่งเข้ามาช่วง 4-5 ปีหลัง


“เนื่องจากหลังแต่งงาน มารดาอยากให้ลูกหลานและสะใภ้มีงานทำ นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยาของผมซึ่งเคยลาออกจากงานธนาคารมาเลี้ยงลูก เมื่อลูกเติบโตขึ้น ทำให้ภรรยาของผมว่างงาน  นางสมพรจึงชวนให้เข้ามาบริหารบริษัทวี-ลัคมีเดีย จึงเป็นที่มาของการซื้อหุ้น ส่วนหลังเลิกกิจการวี-ลัคมีเดียแล้วต้องไปจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานการพิมพ์ ผมไม่ทราบหลักการและไม่เคยยุ่งกับกิจการบริษัทนี้” นายธนาธร กล่าว 

จากนั้น ศาลซักถามถึงเหตุผลการกำหนดให้วันที่ 8 มกราคม 2562 เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่ในวันดังกล่าวมีภารกิจหาเสียงในจ.บุรีรัมย์ นายธนาธร ชี้แจงว่า วันดังกล่าวไม่ใช่วันพิเศษ ครอบครัวตนมีบริษัทจำนวนมาก เมื่อสนใจเข้ามาทำงานการเมือง จึงลาออกจากทุกตำแหน่งในภาคธุรกิจ เริ่มต้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 ยืนยันว่าจำไม่ได้ว่า มีตารางนัดลงพื้นที่หาเสียงก่อนหรือนัดเซ็นโอนหุ้นก่อน แต่ตนมีปฏิทินการทำงานว่าช่วงใดจะลงพื้นที่ภาคใด และโดยปกติตนสามารถทำงาน 2 อย่างได้ภายในวันเดียวกัน   ตอนทำงานในภาคธุรกิจทำงานหนักกว่านี้  


“การเดินทางไปหาเสียงที่จ.บุรีรัมย์แล้วต้องกลับมาเซ็นโอนหุ้นที่กรุงเทพฯ  เดิมผมวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจากจ.อุบลราชธานี  แต่เวลาที่ใช้เดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ไปจ.อุบลฯ ต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง เมื่อรวมกับเวลานั่งเครื่องบิน จึงเห็นว่าใช้ ไม่ต่างจากการขับรถกลับบ้านโดยตรง อีกทั้งผมเป็นคนที่หลับง่ายในรถยนต์ เมื่อขึ้นรถแล้วหลับเลย หากต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องพบเจอและทักทายผู้คน อาจทำให้ไม่ได้พักผ่อน และไม่เป็นส่วนตัว จึงยอมนั่งรถดีกว่า โดยออกจากจ.บุรีรัมย์เวลา 11.00 น. และนั่งรถยนต์มากับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ไม่มีพยานอื่น ๆ เดินทางกลับมาด้วย และระหว่างเดินทางไม่ได้โทรศัพท์พูดคุยหรือติดต่อกับใครเลย เพราะนัดหมายกับทนายความไว้แล้วเวลา 17.00 น.” นายธนาธร กล่าว 

ศาลซักถามถึงเงินที่ได้รับจากการโอนขายหุ้นวี-ลัค มีเดียว่านำเช็คกว่า 6 ล้านบาทไปขึ้นเงินอย่างไร  นายธนาธร กล่าวว่า จำไม่ได้ แม้จะเป็นเช็คที่มีมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท  ไม่ว่าจะเป็นเช็คใบไหน เซ็นวันไหน เพราะตนมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด และไม่แน่ใจว่าแม่และภรรยาของตนจะไปส่งมอบเช็คกันอย่างไร จะเข้าบัญชีวันไหน แม้แต่เช็คที่ตนได้รับจากการไปร่วมสัมมนาก็มอบให้ภรรยาจัดการ ตนไม่เคยจับแม้แต่สมุดบัญชี ส่วนประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือนมกราคมแล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินในเดือนพฤษภาคม ตนไม่เคยถามและไม่เคยรู้  อาจเป็นเพราะครอบครัวไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางครั้งเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้า เป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ 

ต่อมาศาลซักถามว่า ขณะที่ได้รับหุ้นวีลัค-มีเดีย  675,000 หุ้นในปี 2551 ซื้อมาหรือได้มาโดยเสน่หา นายธนาธร กล่าวว่า ตนซื้อมาในราคาพาร์ แต่จำไม่ได้ว่าซื้อจากใคร อาจะเป็นการซื้อหุ้นจากนางสมพร และจำไม่ได้ว่าหลังซื้อหุ้นมาแล้วได้ไปจดแจ้งไปที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทหรือไม่ ส่วนการนัดโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 นั้น มีการนัดหมายล่วงหน้านานเท่าไร ตนจำไม่ได้ โดยเมื่อตัดสินใจเข้าทำงานทางการเมืองในช่วงปลายปี 2560 ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งต้นปี 2561  

“ในเดือน ม.ค.62 ยังไม่มีใครรู้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นวันไหน  โดยพ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ประกาศในช่วงปลายเดือนมกราคม เวลาที่เหมาะสมวันไหน เราก็นัดวันนั้น  เนื่องจากครอบครัวของผมมีกิจการหลายบริษัท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2562 ได้ทยอยก็ทำมาเรื่อย ๆ วันที่ 8 ม.ค.62 จึงไม่ใช่วันสำคัญอะไร  เพราะทำมาอย่างต่อเนื่อง ธุรกรรมสุดท้ายคือเดือนเม.ย. ผมไม่ได้โอนเฉพาะหุ้นวี-ลัค มีเดีย เพราะมีหุ้นอยู่ 30 บริษัท ผมทำธุรกิจมา 20 ปี ซื้อขายหุ้นไทยและต่างชาติเป็นร้อย ๆ ครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ผมไปกระทรวงพาณิชย์ด้วยตัวเอง เมื่อเซ็นจบคือจบ ที่เหลือเป็นเรื่องของธุรการของบริษัท สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นหลังเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น ผมก็ไม่เคยดูเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ธุรการ ผมไม่เคยแม้แต่ถือกลับบ้าน” นายธนาธร กล่าว

จากนั้นฝ่ายกกต.ผู้ร้องได้ซักถามถึงนางลาวัลย์ จันทร์เกษมและนางกานต์ฐิตา อ่วมขำ ซึ่งร่วมเป็นพยานในเอกสารโอนหุ้น  นายธนาธร กล่าวว่า ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารของ บ.วีลัค-มีเดีย เพราะตกลงกับภรรยาว่าชีวิตครอบครัวกับหน้าที่การงานไม่ควรยุ่งเกี่ยวกัน สามีภรรยาที่ทำงานด้วยกันทะเลาะกันจะมีปัญหาครอบครัว ดังนั้นคนที่บริษัทไทยซัมมิทจะไม่เคยเห็นภรรยาของตนเข้าไปบริหาร  เช่นเดียวกับพนักงานบริษัทวีลัค-มีเดียจะไม่เคยเห็นตนเข้าไปบริหาร

“แม้จะหารือกับผู้ถือหุ้นเตรียมเลิกกิจการและเตรียมเลิกจ้างพนักงานวีลัค-มีเดีย แต่ยังทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์ผลิตนิตยสารจิ๊บจิ๊บกับสายการบินนกแอร์ เนื่องจากเป็นสัญญาจ้างผลิตที่ทำกันไว้ล่วงหน้า ส่วนประเด็นที่กิจการขาดทุนมีหนี้ค้างชำระ 10 ล้านบาท  แต่ยังมีการโอนขายหุ้นไปมานั้น ตนไม่ทราบ และไม่เคยยุ่งเกี่ยว ภารกิจจบไปตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.62” นายธนาธร ชี้แจง

เมื่อถูกซักถามว่าเหตุใดจึงไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ กล้ากาญ คนขับรถเป็นพยานบุคคล ในชั้นการชี้แจงกับกกต. นายธนาธร กล่าวว่า ไม่ทราบจะตอบคำถามนี้อย่างไร ประเด็นจากจ.บุรีรัมย์มากรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะผมตอบคำถามนักข่าวผิดเพียงครั้งเดียว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เรามีทั้งใบสั่งและอีซีพาส เวลาสัมพันธ์กันหมดทุกช่วงเวลา แต่คนที่จะจัดการว่าใครควรเป็นพยาน คือทนายความ และว่า “41 ปีในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามานั่งหน้าบัลลังก์  ที่ผ่านมาผมไม่เคยมีคดีเลย”

เมื่อถูกถามย้ำถึงการจดแจ้งเลิกกิจการบ.วี-ลัค มีเดีย  อย่างเป็นทางการ”   นายธนาธร กล่าวอย่างมีอารมณ์อีกครั้งว่า จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้ 

ต่อมาทนายความของนายธนาธรได้ซักถามเพื่อให้นายธนาธร  ชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของกกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร  นายธนาธรกล่าวว่า กกต.มีเอกสารเรียกตนและนางสมพรไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านในช่วงบ่าย ตนไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้ และอยากให้ศาลพิจารณาว่าขณะที่กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของกกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของตนในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์  

“ผมขอสงวนสิทธิ ถ้าคสช.หมดอำนาจ ผมจะดำเนินคดีกกต. ผมตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมืองโดยไม่อยากให้มีเรื่อผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตรโดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับผม ผมจะออกไปทำเรื่องบายทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกในการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่ต้องเข้ามาเพราะเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะผมอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ซึ่งถ้ายังอยู่แบบนี้ก็จะเดินต่อไปไม่ได้”นายธนาธร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการไต่สวนนายธนาธรได้แสดงอาการหงุดหงิดหลายครั้ง ทั้งเรื่องที่ศาลซักว่าทำไมไม่รู้จำนวน เงินค่าตอบแทนหุ้นทำไมไม่ทราบว่าภรรยานำเช็คไปขึ้นเงินเมื่อไหร่ และก่อนไปจ.บุรีรัมย์อยู่ที่ไหน และที่นายธนาธรแสดงอารมณ์มากที่สุดคือเมื่อเจ้าหน้าที่กกต.สอบถามว่าทำไมให้นางลาวัลย์และนางกานต์ฐิตามาเซ็นเป็น พยานในการโอนหุ้น ซึ่งนายธนาธรย้อนถามว่า “แล้วจะให้ผมชวนคุณมาเป็นพยานหรือ ผมรู้จักคุณหรือ รวมทั้งกรณีเจ้าหน้าที่กกต.ถามว่าทำไมไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ คนขับรถเป็นพยานตั้งแต่ในชั้นการชี้แจงกับกกต. ซึ่งศาลได้แสดงความเห็นด้วย โดยระบุว่าเป็นพยานสำคัญที่จะยืนยันว่าในวันดังกล่าวนายธนาธรอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จะเพิ่มน้ำหนักคำให้การมากขึ้นเหมือนกับตุลาการถูกกล่าวหาว่ายิงคนตายแล้ว เวลานั้นมีประธานศาลรัฐธรรมนูญอยู่ด้วยก็สามารถตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญช่วยยืนยันได้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]

จับผับรังสิต

สั่งเด้งผู้การปทุมธานี ขาดจากตำแหน่งเดิม เซ่นจับผับดังรังสิต

8 ส.ค. – โดนด้วย! สั่งเด้งผู้การปทุมธานี โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมพวกอีก 5 นาย เซ่นจับผับดังรังสิต พบฉี่ม่วงเพียบเฉียด 200 คน พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงนามในคำสั่งตำรวจภูธรภาค 1 ที่ 209/2568 เรื่อง ข้าราชการตำรวจช่วยราชการ ใจความว่า ด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 มีคำสั่งที่ 208/2568 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2568 แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในกรณีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 01.00 น. ชุดปฏิบัติการ พิเศษกรมการปกครอง ได้มีการจัดระเบียบสังคม โดยเปิดปฏิบัติการ (Zero Drug) โดยนำกำลังเข้าทำการ ตรวจสอบและจับกุมสถานบริการ ชื่อ ร้าน “Skin […]

ข่าวแนะนำ

วิเคราะห์แนวทางดำเนินคดีกัมพูชา

10 ส.ค. – ฟังการวิเคราะห์ปมดำเนินคดีกัมพูชา กับ รศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากหลักฐานที่มีชัดเจน กระสุนกัมพูชายิงตกฝั่งไทย เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินพลเรือน และมีกระสุนที่ต้องเก็บกู้มากกว่า 800 นัด ขณะที่หลังการเจรจา GBC ผ่านไป พบกัมพูชายังเสริมกำลังทหารต่อเนื่อง .-สำนักข่าวไทย

ชาวบ้านศรีสะเกษสุดช้ำ บ้านเรือนถูกกัมพูชายิงถล่มเหลือแต่ซาก

ศรีสะเกษ 10 ส.ค. – ชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กลับจากศูนย์อพยพเจอสภาพบ้านเหลือแต่ซาก หลังถูกลูกปืนใหญ่กัมพูชายิงถล่ม ขณะที่พบหัวจรวด BM-21 กลางทุ่งนา อีก 2 จุด ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายเรียบร้อย ปลัดอำเภอน้ำยืน เน้นย้ำหากชาวบ้านพบหลุมลึก-ปากหลุมแคบ ให้รีบแจ้งทันที ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นนาทีกระสุนโจมตีของกัมพูชายิงตกใส่บ้านเรือนประชาชนอย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้งกระจาย จากภาพจะเห็นว่ามีรถอีแต๋นคันหนึ่งวิ่งผ่านจุดที่กระสุนพุ่งตกลงมาเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ในพื้นที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วันนี้ นายกุลนที อายุ 45 ปี เดินทางกลับมาบ้าน หลังอพยพออกจากพื้นที่ไปกว่า 2 สัปดาห์ ในช่วงเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีที่เห็นบ้าน นายกุลนทีถึงกับน้ำตาคลอ เพราะบ้านเสียหายอย่างหนัก ทั้งโครงสร้างไม้และปูนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ประตู หน้าต่าง กระจก และหลังคาถูกกระสุนถล่มจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม […]

มทภ.2 กำชับกำลังพลเพิ่มความระมัดระวัง หลังทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด

10 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 กำชับกำลังพลเพิ่มความระมัดระวัง หลังทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ จากการตรวจสอบพบเป็นทุ่นใหม่ ถูกวางไว้ช่วงทหารกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานป้องกันการเข้าโจมตีของไทย ไม่ใช่การลอบนำมาวางใหม่หลังถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยภายหลังการรับมอบสิ่งของช่วยเหลือทหารและเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน จากภาครัฐและเอกชน ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นาย เหยียบกับระเบิด ขณะลาดตระเวนแนวชายแดน จ.ศรีสะเกษ เมื่อวานว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นทุ่นใหม่ที่ถูกวางไว้ช่วงทหารกัมพูชาเข้ามาตั้งฐานเพื่อป้องกันการเข้าโจมตีของไทย ก่อนที่จะถอนกำลังออกไป ไม่ใช่การลอบนำมาวางใหม่หลังถอนกำลัง จึงสั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักร เช่น รถไถ รถตักในการเคลียร์เส้นทางและค้นหาทุ่นระเบิดบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้กำลังพลได้รับอันตรายซ้ำ สำหรับพื้นที่แนวปะทะที่มีการวางกำลังของทหารกัมพูชายังถือว่าไม่ปลอดภัยสำหรับทหาร เนื่องจากมีการวางระเบิดไว้มาก ส่วนพื้นที่ชาวบ้านซึ่งอยู่นอกแนวชายแดนลึกเข้ามา ไม่น่าเป็นห่วงจากทุ่นระเบิดบุคคล แต่ยังมีความเสี่ยงจากจรวดที่ยิงเข้ามาแล้วไม่ระเบิด หากประชาชนพบเห็นให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ห้ามเข้าไปจับ ดึง หรือเก็บเอง อย่างไรก็ตาม พื้นที่ส่วนใหญ่ เช่น ภูมะเขือ อานม้า ซำแปร และตาเมือนธม ไทยสามารถครอบครองได้ […]

นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องชาติมากถึง 75%

กทม. 10 ส.ค.-นิด้าโพล เผยประชาชนไว้วางใจกองทัพ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา มากถึง 75% แนะเปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายจริงจัง รวมทั้งเห็นว่าไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า -กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ -กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 […]