“ปิยบุตร” ชี้ ผบ.ทบ.อย่าจุดชนวนสร้างความแตกแยก

พรรคอนาคตใหม่ 12 ต.ค.-“ปิยบุตร” บรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย : บทบาทของประชาชน ในการสร้างชาติ” โต้ ผบ.ทบ.สร้างความแตกแยก ย้ำฝ่ายค้านแตะแก้ รธน.หมวด 1-หมวด 2 ระบุคนฉีกคือคณะรัฐประหาร  ขออย่ากังวลพรรคอนาคตใหม่ ไม่เคยคิดแบ่งแยกรุ่น ยอมรับเป็นพวกซ้ายจัดดัดจริตศึกษาเรื่องปฏิวัติ แต่ต้องปฏิรูปประเทศไทย


นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดเวทีบรรยายพิเศษ หัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย  : บทบาทของประชาชน ในการสร้างชาติ” ว่า การจัดบรรยายวันนี้ (12 ต.ค.) เนื้อหาต้องการแก้ไขความเข้าใจที่ผิดพลาดของ พล.อ.อภิรัต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการจัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองฝ่ายความมั่นคง” เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ซึ่งมองว่าเนื้อหาดังกล่าวที่จะนำไปสู่การสร้างความแตกแยก และวันนี้ต้องการตอบโต้ พล.อ.อภิรัชต์ ถึงแม้การบรรยายเมื่อวานนี้ จะไม่เอ่ยถึงชื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เชื่อว่าหมายถึงพรรคอนาคตใหม่และแกนนำในพรรค เชื่อว่าการบรรยายเมื่อวานนี้เป็นการสะท้อนวิธีคิดของผู้บัญชาการทหารบกและกองทัพไทย ที่จะทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ

นายปิยบุตร กล่าวถึงการสร้างชาติ ว่า การสร้างชาติได้ต้องสร้างจากปัจจุบันด้วย ต้องถอดองค์อำนาจออกจากตัวบุคคลมาให้ประชาชนเป็นผู้นำสูงสุด และให้ประชาชนสร้างชาติ จึงจะเกิดจิตสำนึก เคารพซึ่งกันและกัน เพราะถ้าไม่มีประชาชน ก็ไม่มีชาติ พร้อมขอให้คนไทยทุกคนที่แม้จะมีความเห็นแตกต่างกัน มาร่วมกัน สร้างชาติ ด้วยการเคารพความเป็นคนของผู้อื่น ยึดมั่นสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค และเคารพความแตกต่างหลากหลายของผู้อื่น


“แม้เราจะเคยโกรธ เคยเกลียด เคยเห็นต่าง แต่เราคือคนไทย จึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนเคารพความแตกต่าง หลากหลายของบุคคลอื่น” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การที่ผู้บัญชาการทหารบกพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเรื่องใดแก้ได้ แก้ไม่ได้ อยากให้หยิบรัฐธรรมนูญขึ้นมาดู อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ให้หยิบรัฐธรรมนูญมาดูว่าเรื่องใดแก้ได้ แก้ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 255 เขียนว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำไม่ได้ นี่คือข้อจำกัดในการแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศไทยจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็แก้ไขได้แต่ต้องไม่แก้ไขอะไรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือเปลี่ยนรูปแบบของรัฐในการเป็นราชอาณาจักรหรือเปลี่ยนรูปของรัฐจากความเป็นรัฐเดี่ยว ซึ่ง 3 เรื่องนี้ห้ามแก้ไขเป็นอันขาด และหากถามว่ามาตรา  1 แก้ไขได้หรือไม่ หากลองไปเปิดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 (8) เขียนไว้ว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 หมวดที่ 2 และหมวดที่ 15 ต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชนก่อน ดังนั้นเมื่ออ่านรัฐธรรมนูญแล้วสามารถแก้ได้ แต่เมื่อแก้แล้วห้ามมีผลเปลี่ยนแปลงการปกครองในรูปแบบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ห้ามเปลี่ยนรูปแบบการปกครองของรัฐจากราชอาณาจักรเป็นรูปแบบอื่น และห้ามเปลี่ยนรูปแบบรัฐจากรัฐเดี่ยวไปเป็นสหพันธ์นี่คือข้อจำกัด แต่หากมีการแก้ประเทศไทยก็ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่ามีการแก้ไขใดที่กระทบกับ 3 เงื่อนไขนี้หรือไม่

“ดังนั้นสิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกบรรยาย เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมดเป็นการนำความเห็นของนักวิชาการคนหนึ่งยกขึ้นมาทำลายความชอบธรรมในการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน โดยพยายามยึดโยงว่าการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพรรคฝ่ายค้านยืนยันแล้วว่าไม่จริง และเคยยืนยันแล้วว่าการแก้ไขจะไม่เข้าไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญตามระบบ ตรงกันข้าม เวลาคณะรัฐประหารเข้ามาก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งทั้งฉบับ เท่ากับข้อห้ามในการแก้ไขไม่มีอีกต่อไปแล้ว รัฐธรรมนูญกลับไปเป็นปีศูนย์ ไม่มีอะไรเป็นกรอบเป็นเกณฑ์ ดังนั้นการฉีดรัฐธรรมนูญโดยรัฐประหารหรือไม่ที่จะเป็นการเปลี่ยน อยากให้คิดให้ดีว่า คนที่มีปากกา คนที่มีมือ คนที่มีความคิด กับคนทีมีอาวุธ ใครกันแน่ที่ละเมิดมาตรา 1 ได้มากกว่ากัน” นายปิยบุตร กล่าว


นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ทหารและกองทัพในสมัยใหม่ จะออกมาจากการเมืองและทำหน้าที่รักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร จะไม่เข้ามาเล่นการเมือง  ในต่างประเทศ ไม่เคยเห็นผู้บัญชาการทหารบกออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แค่จุดเล็ก ๆ จุดนี้แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยสมัยใหม่ในต่างประเทศไม่ให้เอากองทัพมายุ่งกับการเมือง ตรงกันข้ามกับประเทศไทย

นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า ขอตั้งคำถามไปยังผู้บัญชาการทหารบก ที่กล่าวว่าประเทศมีปัญหาต่าง ๆ มากมาย หากปัญหาใหญ่จะฝากความหวังไว้ที่กองทัพที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย แทรกแซงการเมืองได้เสมอ พร้อมรัฐประหารทุกเวลา และยังติดอยู่ในยุคของสงครามเย็น รวมถึงจะฝากไว้กับสื่อยุยงปลุกปั่นที่เรียกว่าดาวสยาม 4.0 ได้หรือไม่ จึงอยากเชิญชวนผู้บัญชาการทหารบกและกองทัพ มาร่วมพูดคุย อย่ามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ต้องเลิกวิธีการสร้างศัตรูภายในใจ ต้องบอกว่าความเห็นที่แตกต่างกันนั้นสามารถอยู่อาศัยร่วมกัน ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าปรากฏการณ์ของพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นแล้ว มีประชาชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตื่นรู้ และหากแก้ปัญหาโดยการมองว่าคนเหล่านี้ถูกปลุกปั่น ก็จะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จะแก้ไขปัญหาด้วยการกำจัดคนเหล่านี้ให้ออกไปจากประเทศไทยหรือ หรือจะตีกรอบให้ไม่มีเสรีภาพ จะเอาไปปรับทัศนคติอย่างนั้นหรือ

“ขอเรียนท่านผู้บัญชาการทหารบกว่าอย่ากังวลใจกับผม อย่ากังวลใจกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่ากังวลใจกับพรรคอนาคตใหม่ อย่ากังวลใจกับคนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ท่านอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกซ้ายจัดดัดจริต คนพวกนี้ชอบแต่จะศึกษาเรื่องราวปฏิวัติ เรื่องนี้ผมไม่เถียง ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติทั่วโลก เพื่อเป็นบทเรียนและพิจารณาร่วมกันว่าทำอย่างไรให้ประเทศไทยไม่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ การเปลี่ยนแปลงบนโลกนี้เกิดขึ้นได้สองรูปแบบ คือ การปฏิวัติและการปฏิรูป ดังนั้นการที่ผมศึกษาเรื่องการปฏิวัติ แต่ผมสนับสนุนและอยากให้ประเทศไทยเกิดปฏิรูป ให้คนในชาติได้อยู่อาศัยร่วมกัน  เพราะ 13 ปีที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศ ที่ผ่านมาผู้บัญชาการทหารบก รวมถึงผม ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้ง แต่วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่วันนี้เรามีแต่ความปรารถนาดีที่พร้อมจะปฏิรูปประเทศไปด้วยกัน” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การที่ผู้บัญชาการทหารบกบรรยายเมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ไม่ได้ส่งผลดี ไม่ได้ช่วยแก้ไข ตรงกันข้ามกลับตอกลิ่มสร้างความแตกแยก แบ่งแยก สร้างความเกลียดชัง สิ่งที่ผู้บัญชาการทหารบกพูด กำลังไปกระตุ้นในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด และการทำพรรคอนาคตใหม่ของตนร่วมกับนายธนาธร ยอมรับว่ามีเสียงสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ และมีคนรุ่นผู้ปกครอง รุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ให้การสนับสนุนพรรค การก่อตั้งพรรค ไม่เคยมีความคิดที่จะแบ่งแยกรุ่นของคนในชาติ มีแต่จะชี้ให้เห็นปัญหาของคนทุกคนว่าต้องการที่จะใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ ไม่อยากติดลมความขัดแย้ง 13 ปีที่ผ่านมา แทนที่ผู้บัญชาการทหารบกจะสร้างความเข้าใจ แต่กลับไปตอกลิ่มซ้ำลงไปในอนาคตอาจเกิดความแตกแยกทางรุ่นขึ้นได้ เราจะบริหารประเทศอย่างไรหากผู้บัญชาการทหารบกออกมาพูดลักษณะนี้ ขออย่าดูถูกมันสมองของวัยรุ่นว่าตามยุคสมัยไม่ทัน หากใช้วิธีนี้แก้ไขปัญหา นานเข้าเกิดความฝังลึกลงไป ทางที่ดีผู้บัญชาการทหารบกควรทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ในลักษณะเปิดกว้างว่าคนรุ่นใหม่ต้องการเห็นอะไร เห็นประเทศไทยเป็นแบบไหน ขอวิงวอนอย่าใช้วิธีการแบบนี้เพื่อจะแก้ไขปัญหาร่วมกัน และการบรรยายของผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวานนี้ทำให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปกองทัพพร้อมกับประชาธิปไตย และต้องสนับสนุนหลักการรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาอยู่เหนือกองทัพให้ได้ และสาเหตุที่ตนจำเป็นต้องออกมาบรรยายพิเศษในวันนี้ เพราะมีความกังวลใจว่าการบรรยายของผู้บัญชาการทหารบกจะสร้างปัญหาลุกลามบานปลายไปมากกว่าเดิม จะสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติไปมากกว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายปิยบุตร บรรยายพิเศษ หัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองประชาธิปไตย : บทบาทของประชาชน ในการสร้างชาติ” ประมาณ 40 นาที มีชายคนหนึ่งที่มาร่วมรับฟังการบรรยาย  พยายามถามแทรกนายปิยบุตรเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะช่วงที่นายปิยบุตร อธิบายถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชนวนความขัดแย้ง และบทบาทกองทัพ จนทำให้ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ที่มาร่วมรับฟังได้ตะโกนขอให้ชายคนดังกล่าวออกจากพื้นที่บรรยาย แต่นายปิยบุตร ได้กล่าวขอให้ชายคนดังกล่าวใจเย็น ๆ และรอฟังการบรรยายให้จบแล้วจะตอบข้อสงสัยทั้งหมด พร้อมขอให้ผู้สนับสนุนเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้รับฟังการบรรยายโดยไม่ปิดกั้น เพราะพื้นที่พรรคอนาคตใหม่เป็นพื้นที่เสรีภาพ ทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย  การบรรยายจึงดำเนินต่อไป

ภายหลังการเสร็จสิ้นการบรรยาย นายปิยบุตร ได้เปิดโอกาสให้ชายคนดังกล่าวซักถามข้อสงสัย จนจบ และเมื่อนายปิยบุตร ตอบคำถามจบ ชายคนดังกล่าวได้เข้ามาจับมือและขอบคุณนายปิยบุตรที่เปิดโอกาสให้ได้แสดงความคิดเห็น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ผู้อพยพใน จ.สุรินทร์ รอคำสั่งกลับบ้าน

สุรินทร์ 7 ส.ค. – ผู้อพยพใน จ.สุรินทร์ พร้อมกลับบ้าน หากได้รับคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัด หลังทราบผลประชุม GBC ขณะที่วันนี้ “เสก โลโซ” มาเซอร์ไพรส์ ขับร้องเพลงคลายเครียดให้ผู้อพยพ.-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]

ไร้คู่แข่ง “ไชยา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1

รัฐสภา 7ส.ค. – “ไชยา พรหมา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แบบไร้คู่แข่ง ประกาศพร้อมจับมือทุกฝ่ายทำให้สภาฯ เป็นที่พึ่งของประชาชน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาลงมติเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอชื่อนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เพียงชื่อเดียว จากนั้นนายไชยา ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ขอบคุณประธานฯ และสมาชิก ที่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขอยืนยันว่าจะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงานทางการเมืองตลอดชีวิตการทำงานเพื่อสภาฯ แห่งนี้ อย่างน้อยสถาบันนิติบัญญัติเป็นกลไกที่มีความสำคัญไม่แพ้อำนาจฝ่ายบริหาร ประธานฯ และตัวไชยาเอง อยู่สภาฯ นี้มานาน ได้ผ่านกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมือง สถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันแต่ละยุคสมัย อยากเห็นองค์กรนิติบัญญัติแห่งนี้เป็นที่พึ่งของที่น้องประชาชนต่อไป และสิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือ อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน […]

เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ

มาเลเซีย 7 ส.ค.-เสร็จสิ้นแล้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ นับจากการประชุม […]