ทำเนียบรัฐบาล 7 ต.ค.-รมว.วธ.เชิญชวนร่วมงานสืบสานประเพณีออกพรรษา ประจำปี 2562 “ไหลเรือไฟ จ.นครพนม – รับบัว จ.สมุทรปราการ-ชักพระ จ.สุราษฎร์ธานี-ตักบาตรเทโว จ.อุทัยธานี’ หนุนนำประเพณีสร้างรายได้ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างความภาคภูมิใจมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานเทศกาล ประเพณี วิถีไทย เนื่องในเทศกาลออกพรรษา ประจำปี 2562 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายกฤษ ศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะผู้บริหาร เครือข่ายกระทรวงให้การต้อนรับ และนำชมนิทรรศการสาธิตประเพณีรับบัว ประเพณีตักบาตรเทโว ประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่าและแข่งเรือยาว งานไหลเรือไฟ และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม
นายอิทธิพล กล่าวว่า ในเดือน ต.ค.นี้ เป็นช่วงเทศกาลออกพรรษา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา มีประเพณีสำคัญ เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ได้แก่ ประเพณีรับบัว ประจำปี 2562 จ.สมุทรปราการ ซึ่งเกิดจากความศรัทราในพระพุทธศาสนาของคนสามเชื้อชาติ คือ ชาวไทย ชาวลาว และชาวมอญ ที่ถือปฏิบัติและสืบทอดมาอย่างยาวนาน ขณะที่ วธ. โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ประกาศให้ประเพณีรับบัว ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เมื่อปี 2555 ซึ่งปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-14 ต.ค.62 ณ คลองสำโรง ด้าน หน้าวัดบางพลีใหญ่และบริเวณที่ว่าการอำเภอบางพลี โดยมีกิจกรรม อาทิ ขบวนแห่หลวงพ่อโตทางรถ ตักบาตรทางเรือ ขบวนแห่หลวงพ่อโตทางเรือ การแข่งขันเรือพายชิงถ้วยพระราชทานฯ พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ การประกวดขบวนเรือสวยงาม และการแสดงมหรสพ เป็นต้น โดยในวันที่ 12 ตุลาคม 2562 จะมีพิธีโยนบัว สักการะองค์หลวงพ่อโต ณ ริมคลองสำโรง หน้าวัดบางพลีใหญ่ มีความเชื่อว่าหากโยนดอกบัวลงไปในเรือที่องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ อธิษฐานสิ่งใดจะประสบความสำเร็จ
ประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาด จ.นครพนม ประจำปี 2562 เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์ เก่าแก่ และล้ำค่าของชาวอีสาน มีความเชื่อว่าการไหลเรือไฟเปรียบเสมือนการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ริมฝั่งแม่น้ำนัมทานทีและระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา รวมทั้งถือว่าเป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-14 ต.ค.62 ณ ลำน้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร และศาลากลาง จ.นครพนม มีกิจกรรม อาทิ นิทรรศการวิถีคนทำเรือไฟ การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน การประกวดธิดาเรือไฟ ขบวนแห่เรือไฟบก การปล่อยกระทงสาย พิธีทำบุญตักบาตรเทโว การออกร้านจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยมีพิธีเปิดงานและการไหลเรือไฟจาก 12 อำเภอ ในวันที่ 13 ต.ค.62 ณ ลำน้ำโขง เขตเทศบาลเมืองนครพนม
ประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาว จ.สุราษฎร์ธานี ประจำปี 2562 ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่จัดมาอย่างยาวนาน โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-18 ต.ค.62 ณ บริเวณข้างโรงแรมวังใต้ ริมเขื่อนแม่น้ำตาปี และสะพานนริศ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การประกวดพุ่มผ้าป่าของหมู่บ้าน/ชุมชน หรือที่เรียกว่าพุ่มผ้าป่าหน้าบ้านจำลองฉากภาพพุทธประวัติหรือพุทธชาดก ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม การตั้งพุ่มผ้าป่าหน้าบ้านกว่า 2,000 พุ่ม พิธีสมโภชพุ่มเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล ณ บริเวณศาลหลักเมือง การแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯ การแสดงแสง สี เสียง การออกร้านจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม
จุดเด่นของงานคือ การชักพระทางบกหรือลากพระ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 ต.ค.62 ณ บริเวณถนนหน้าศาลากลางจ.สุราษฎร์ธานี เคลื่อนขบวนไปยังถนนชนเกษม และสิ้นสุดที่สะพานนริศ ริมแม่น้ำ โดยจะมีการประกวดรถพนมพระซึ่งมีรถเข้าร่วมกว่า 100 วัด นอกจากนี้มีการชักพระทางน้ำล่องมาตามแม่น้ำตาปี เพื่อให้ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำได้ร่วมชมและร่วมทำบุญอีกด้วย
ประเพณีตักบาตรเทโว ประจำปี 2562 ประเพณีสำคัญของ จ.อุทัยธานี โดยสถานที่จัดงานที่มีชื่อเสียง คือวัดสังกัสรัตนคีรี อ.เมืองอุทัยธานี ในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-14ต.ค.62 มีกิจกรรม อาทิ พิธีสักการะโต๊ะหมู่บูชาประดับงาช้างแห่งเดียวในโลกขบวนแห่พุทธบูชามหาสังฆทานพระพุทธรูปปางประจำวันจากทุกอำเภอในจังหวัดอุทัยธานี การแสดง แสง เสียง โดยในวันที่ 13 ต.ค.62 มีพิธีตักบาตรเทโว ข้าวสาร อาหารแห้ง และข้าวต้มลูกโยน โดยพระสงฆ์จำนวน 500 รูป เดินลงบันได 449 ขั้นจากยอดเขาสะแกกรัง วัดสังกัสรัตนคีรี เพื่อรับบิณฑบาตจากประชาชนและนักท่องเที่ยว
‘วธ.ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศสืบสานเทศกาล ประเพณี วิถีไทย เนื่องในเทศกาลออกพรรษา ประจำปี 2562 ทั่วประเทศ เพื่อสืบสานประเพณีและอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รวมทั้งยกระดับงานประเพณีไทยสู่ระดับนานาชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการทางวัฒนธรรมสู่ท้องถิ่น’ รมว.วัฒนธรรม กล่าว .-สำนักข่าวไทย