สำนักข่าวไทย 3 ต.ค.- มติที่ประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตรายครั้งหลังสุด ยังไม่สรุปถึงการยกเลิก 3 สารเคมีอันตราย แม้จะ “จำกัดการนำเข้า” และต้องได้ข้อสรุปใน 60 วันก็ตาม ท่ามกลางข้อกังขาว่ามีการ “ยื้อ” หรือไม่ อย่างไร สำนักข่าวไทย พาไปทำความรู้จัก “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” รวมถึงพิษภัยของ 3 สารเคมีอันตราย
คณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดนี้ มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธานกรรมการ และกรรมการโดยตำแหน่งอีก 17 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อย่างกระทรวงเกษตรฯ พลังงาน สาธารณสุข เป็นต้น ร่วมด้วยอธิบดีหลายกรม เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมวิชาการเกษตร กรมศุลกากร รวมทั้งเลขาธิการ อย. และผู้แทนจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
โดยคณะกรรมการชุดนี้ มีอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้ช่วยเลขานุการ มาจากผู้แทน 3 กรม คือ กรมธุรกิจพลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมวิชาการเกษตร รวมทั้งผู้แทนจาก อย.ด้วย
นอกจากนี้ ยังมี “กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรี” ไม่เกิน 8 คน ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเคมี วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และกฎหมาย และ “กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตัวแทนองค์กร” อย่างน้อย 4 คน ที่มีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านการเกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อมด้วย
ทั้งนี้ แหล่งข่าวของสำนักข่าวไทย ระบุว่าการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อ 18 กันยายนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า มติที่ประชุมมีคณะกรรมการที่สนับสนุนให้ “จำกัดการนำเข้า” ต่อไป มีจำนวนมากกว่ากลุ่มที่ต้องการยกเลิกถึง 3 เท่า ตีความอย่างง่าย กรรมการโหวตให้คงมติเดิมมากกว่า 20 เสียง มีกรรมการสนับสนุนให้ยกเลิกหรืองดออกเสียงเพียง 7-8 เสียงเท่านั้น ซึ่งมากกว่าการประชุมครั้งก่อนหน้านั้นที่มีการสนับสนุนให้ใช้ต่อ 16 เสียง โหวตให้ยกเลิก 5 เสียง และงดออกเสียง 5 เสียง จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ “ถ่วงเวลา” หรือไม่
เหตุผลของการเดินหน้าขอ “ยกเลิก” เพราะสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิดนี้ มีผลกระทบต่อร่างกายและผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หลายประเทศทยอยยกเลิกการใช้แล้ว
อย่าง “พาราควอต” เป็นสารเคมีที่มี “พิษเฉียบพลัน” ได้รับเพียงเล็กน้อย 1-2 ช้อนชา ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ มีงานวิจัยแสดงว่า พาราควอตสามารถเข้าสู่สมองคน และมีฤทธิ์ทำลายสมอง มีรายงานการแพทย์พบสารนี้ในสมองของผู้ที่ตายจากการได้รับพาราควอตและผู้ป่วยอัลไซม์เมอร์ อีกทั้งยังพบในเลือดหญิงตั้งครรภ์และเลือดจากสายสะดือทารกด้วย ในต่างประเทศ 53 ชาติ ประกาศยกเลิกการใช้แล้ว รวมทั้งประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพาราควอตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย
“คลอร์ไพริฟอส” ก็เป็นสารพิษที่มีงานวิจัยระบุว่า มีผลต่อสมองเด็ก ทำให้เรียนรู้ช้ากว่าปกติ อีกทั้งยังพบในเลือดหญิงตั้งครรภ์และเลือดจากสายสะดือทารกเช่นเดียวกับพาราควอต หลายประเทศยกเลิกการใช้สารนี้แล้ว เช่นเดียวกับที่สหรัฐ ที่ศาล “สั่งห้ามขาย คลอร์ไพริฟอส” ภายใน 60 วัน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2561
ส่วน “ไกลโฟเซต” เป็นสารพิษที่องค์การศึกษาและวิจัยโรคมะเร็ง หรือ IARC จัดเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง พบไกลโฟเซตตกค้างสายสะดือของทารก รวมทั้งในแม่ของเด็กที่อาศัยในบริเวณที่มีการฉีดพ่นไกลโฟเซต หลายประเทศยกเลิกการใช้แล้ว เรื่องอื้อฉาวล่าสุด คือ กรณี บริษัทไบเออร์มอนซานโตในเยอรมนี แพ้คดีฟ้องร้องของผู้ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากไกลโฟเซต ซึ่งยังมีผู้ฟ้องร้องอยู่อีกเกือบหมื่นราย.-สำนักข่าวไทย