เปิดตัวโครงการ “ปักหมุดจุดเผือก” แจ้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศ

โรงแรมเอทัส 14 ก.ย.-  เปิดตัวโครงการ “ปักหมุดจุดเผือก”ชวนประชาชนออกสำรวจค้นหาจุดเสี่ยงถูกคุกคามทางเพศในเมืองใหญ่ และร่วมกันสร้างเมืองปลอดภัยผ่าน Chat bot #ทีมเผือก ในแอพพลิเคชั่นไลน์ 


เครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง ประกอบไปด้วย องค์การ แอ็คชั่นเอด ประเทศไทย (Action Aid) ,แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ, มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ,เครือข่ายสลัมสี่ภาค, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), Shma SoEn , Urban Creature และ Big Trees ร่วมกับเครือข่ายสถาปนิก นักผังเมือง เครือข่ายคนเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เปิดตัวโครงการ “ปักหมุดจุดเผือก” เพื่อชวนประชาชนร่วมกันออกสำรวจค้นหาจุดเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศในเมืองใหญ่ และร่วมกันสร้างเมืองปลอดภัยผ่าน Chat bot #ทีมเผือก ในแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปักหมุดจุดเผือกค้นหาจุดเสี่ยงในพื้นที่จริงบนทางจักรยานลอยฟ้าสวนลุม-สวนเบญจกิตติ  (สะพานเขียว) ร่วมกับชาวบ้านจากชุมชนซอยพระเจน ผู้อาศัยและใช้พื้นที่บริเวณทางจักรยาน ซึ่งพบปัญหาทั้งไฟฟ้าส่องสว่างไม่เพียงพอ กลุ่มคนต่างด้าวจับกลุ่มดื่มแอลกอฮอล์บนสะพาน และถูกคุกคามทางสายตา ซึ่งจะมีการรวบรวมข้อมูลเสนอต่อผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อธิการบดีมหาวิทยาลัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป


 

ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ  กล่าวว่าการจัดกิจกรรม ‘First Pin ปักหมุด จุดเผือก’ เพื่อรณรงค์ขจัดปัญหาการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะซึ่งภาคีเครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิงได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปีแล้วภายใต้ชื่อโครงการ “ทีมเผือก”  โดยมีประชาชนสนใจเข้าร่วมเป็น“ทีมเผือก” ผ่านกลุ่มเฟชบุ๊ก กว่า 800 คน และสามารถช่วยกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในการกระตุ้นให้หน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศบนระบบขนส่งสาธารณะได้  ที่ผ่านมา ปัญหาการคุกคามทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นบนระบบขนส่งสาธารณะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ระหว่างการเดินทางผ่านท้องถนนและตรอกซอกซอยในชีวิตประจำวันของผู้หญิงโดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงาน ก็เสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศที่เรียกว่า street harassment มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะสร้างความไม่ปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ยังปิดโอกาสการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพของผู้หญิงในหลากหลายมิติด้วย  หากต้องใช้ชีวิตแต่ละวันอยู่กับความเสี่ยง ความรู้สึกหวาดระแวง ไม่ปลอดภัย หรือหากเคยถูกคุกคามทางเพศ ก็มีแนวโน้มที่จะจำกัดตัวเอง เช่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เรารู้สึกไม่ปลอดภัย พยายามไม่กลับบ้านค่ำ เลี่ยงไม่ออกไปทำธุระตอนกลางคืน เลี่ยงไม่เดินทางคนเดียว ทำให้เสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะอย่างเต็มที่  และบางทีคนที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น คนที่ต้องออกจากบ้านไปทำมาหากินตั้งแต่เช้ามืด หรือเลิกงานดึก หรือบ้านอยู่ซอยลึก ก็ต้องทนอยู่แบบหวาดระแวง เครียด กังวล กลายเป็นว่าเขาเสียโอกาสที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปด้วย


สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่พบว่ามีลักษณะ 1.เป็นซอยตัน ไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือก 2.เป็นทางผ่านไปในจุดที่อับหรือเปลี่ยว 3.มีสิ่งบดบังสายตาซึ่งมีโอกาสเป็นจุดซุ่มซ่อนตัวของคนร้าย 4. เป็นพื้นที่ปิดคนที่สัญจรไปมาหรือชุมชนรอบข้างมองไม่เห็น 5. ไม่มีแสงไฟส่องสว่าง หรือ แสงสว่างไม่เพียงพอ 6. ไม่มีป้ายบอกชื่อสถานที่หรือป้ายบอกทางทำให้คนนอกพื้นที่ไม่สามารถระบุจุดหรือตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ได้ชัดเจน 7. อยู่ห่างไกลจากจุดบริการขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย ไม่มีคนเดินทางสัญจรไปมา 8.ไม่มียามรักษาความปลอดภัยในจุดที่สมควร และ ไม่มีแหล่งขอความช่วยเหลือที่เข้าถึงได้ง่าย

ด้าน น.ส.รุ่งทิพย์ อิ่มรุ่งเรือง ผู้จัดการโครงการและนโยบาย องค์การแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย กล่าวว่า องค์การแอ็คชั่นเอดได้จัดทำงานวิจัยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกเคยเจอเหตุการณ์ความรุนแรงจากการคุกคามทางเพศบนท้องถนนของเมืองใหญ่ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาแค่การเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทางก็มีความเสี่ยงต่อการถูกคุกคามทางเพศมากขึ้นแล้ว ประเทศไทยมีผู้หญิง 86 เปอร์เซ็นต์ที่เคยถูกคุกคามทางเพศบนท้องถนนเช่นกัน ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยมีสถิติที่น่าสนใจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นนี้ ที่ระบุว่ากรุงเทพมหานครมีจุดเสี่ยงมากถึง 217 จุดที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ในประเทศไทย เวลาแจ้งเหตุแล้วจะถูกถามหาหลักฐานก่อน แต่ในต่างประเทศ พอแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาช่วยเหลือในทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรในเวลานั้น 

 

นายวสันต์ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโสระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่ายศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)  กล่าวว่า โครงการ First Pin ปักหมุด จุดเผือกนี้ จะเป็นประโยชน์กับสังคม นำไปสู่การแก้ไขปัญหาแบบ 4.0 ได้ โดย NECTEC มีเทคโนโลยีที่จะสามารถช่วยในส่วนของแอพพลิเคชั่นไลน์ ที่ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านแชทบอทผ่านไลน์ได้ เวลาเจอปัญหา พบพื้นที่เสี่ยง ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้เลย ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์จะประมวล และเก็บรวมรวมสภาพปัญหาต่างๆเข้ามาในระบบ โดยทุกคนสามารถใช้ได้ โดยแอดเฟรนด์ผ่านคิวอาร์โค้ด หรือ @Traffy Fondue  หากเห็นความไม่ปลอดภัยของพื้นที่ไหนที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์คุกคามทางเพศ ขอให้ถ่ายรูปติดแอชแท็กทีมเผือกแล้วแจ้งเหตุปักหมุดมาในโปรแกรมของเราได้ทันที

 

สำหรับวิธีการแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์chatbotทีมเผือก  แอดเฟรนด์ผ่านคิวอาร์โค้ด หรือ @Traffy Fondue ซึ่งเมื่อแอดเฟรนด์แล้ว และเข้าไปในหน้าแชทข้อความระบุจะขึ้นขั้นตอนการแจ้งปัญหา ดังนี้  1. ติดแฮชแท็กทีมเผือกพร้อมทั้งพิมพ์ข้อความปัญหา 2. ส่งภาพปัญหา เมื่อระบบขอรูปภาพ 3. ส่งตำแหน่ง (Share Location) เมื่อระบบขอพิกัด  4. ระบบจะส่งข้อความแจ้งความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

กต.ประณามกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง

ก.ต่างประเทศ 20 ก.ค. – กต.ประณามกัมพูชาอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซัดขัด กม.ระหว่างประเทศร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยไทย จี้ให้ความร่วมมือเก็บกู้ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อ่านแถลงการณ์เรื่องการประท้วงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชา ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ บริเวณช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดศรีสะเกษ จนเป็นเหตุให้กำลังพลของไทยได้รับบาดเจ็บ ว่า ตามที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนตามปกติ ในดินแดนของไทย บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนั้น รัฐบาลไทยได้รับรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงว่า ภายหลังการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ทุ่นระเบิดที่พบ ไม่มีการใช้ หรือมีอยู่ในคลังอาวุธของไทย และเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับการประมวลข้อมูล และหลักฐานสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่หน่วยงานความมั่นคงตรวจพบ นำไปสู่การสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างชัดเจน ไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ จะดำเนินการตามกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ โดยจะยังคงหาทางแก้ปัญหากับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีต่าง […]

มทภ.2 ยินดีเขมรขนคนเที่ยวโบราณสถานไทย เตือนเคารพกฎ

20 ก.ค.- แม่ทัพภาค 2 ฮึ่มป่วน “ปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตาควาย” เจอมาตรการเบาไปหนัก ยินดีเขมรขนคนมาชมสองโบราณสถานของไทย ส่วนโซเชียลรณรงค์คนไทยเจ้าบ้านใส่เสื้อไทยร่วมต้อนรับ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีกัมพูชาขนประชาชนกัมพูชาหลายรถบัสขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ว่า รู้สึกยินดีและขอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ที่มาท่องเที่ยว เยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายของไทย ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กองทัพภาคที่ 2 กำหนดไว้ โดยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลนักท่องเที่ยวให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ก่อความวุ่นวาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวทุกคนเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย เป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญของไทยและมีประวัติศาสตร์มายาวนาน “หากนักท่องเที่ยวคนใดก่อเหตุวุ่นวาย เจ้าหน้าที่มีมาตรการจากเบาไปหาหนักดำเนินการ ดังนั้นขออย่าให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนเข้ามาเยี่ยมชมโบราณสถานของไทย ต้องเคารพกฎระเบียบของไทย” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ภาพคนไทย พร้อมข้อความภาษาไทยและภาษากัมพูชา ระบุว่า “รวมใจคนไทย ใส่เสื้อไทย ต้อนรับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพจากเจ้าของบ้านตัวจริง” -สำนักข่าวไทย

ทบ.ส่งทหารช่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา

20 ก.ค.- ทหารช่างปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดพื้นที่ช่องบก ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่กองทัพบกเตรียมมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม จากกรณีทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิด บาดเจ็บ 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ล่าสุดเช้านี้ (20 ก.ค. 68) กองทัพภาคที่ 2 เสริมกำลังทหารช่างลงพื้นที่ทันที เพื่อตรวจพื้นที่และเก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดน โดยใช้ยุทโธปกรณ์หนัก รถแทรกเตอร์หุ้มเกราะ ชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดชำนาญการ กำลังชุดทหารช่างตรวจค้นกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearing) เขตทางพื้นที่สงสัยให้ปลอดภัย พร้อมใช้รถโกยตัก ถางขุดตอ และรถถากถางติดตั้งเกราะเหล็กป้องกันพลขับในการทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย ปฏิบัติการดังกล่าว นอกจากดูแลความปลอดภัยของกำลังพลที่จะออกลาดตระเวนในพื้นที่เขตแดนไทยแล้ว ยังเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีพฤติการณ์ที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แม้ทางฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมรับ แต่กระทรวงการต่างประเทศ จะทำหนังสือเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการผ่านสหประชาชาติ (UN) และทางกองทัพบก จะมีมาตรการตอบโต้ทางทหารอย่างเหมาะสม.-สำนักข่าวไทย

พฐ.เตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา

20 ก.ค.- เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเตรียมตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางพารา จ.บุรีรัมย์ เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บ คาดเสียหายหลายสิบล้านบาท เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานรับซื้อและแปรรูปยางพาราขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนสาย 24 โชคชัย-เดชอุดม ตำบลโคกม้า อ.ประโคกชัย จ.บุรีรัมย์ โดยต้นเพลิงเป็นโกดังเก็บยางพาราอัดแท่ง จัดว่าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้เพลิงลุกไหม้รวดเร็วและรุนแรง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตอนเกิดเหตุช่วงแรก พนักงานช่วยกันดับแต่เอาไม่อยู่ จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือ ตำรวจ สภ.ประโคนชัย พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ลงพื้นที่ตรวจสอบและประสานรถดับเพลิงกว่า 20 คัน เข้าฉีดสกัดนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัดได้ แต่ยังต้องฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ตลอดป้องกันไม่ให้ไฟปะทุลามไปจุดอื่นในโรงงาน พร้อมเคลื่อนย้ายถังแก๊ส ถังน้ำมัน จากอาคารใกล้เคียงไปไว้ยังจุดปลอดภัย เบื้องต้นไม่มีพนักงานได้รับบาดเจ็บ ด้านนายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่าแม้จะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว แต่รถดับเพลิงก็ยังต้องฉีดน้ำเพื่อหล่อความเย็นจนกว่าไฟจะดับสนิท ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ยังไม่ทราบ ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบ สำหรับมูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่างการประเมิน คาดหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานดังกล่าวเคยเกิดเหตุไฟไหม้มาแล้ว เมื่อปี 63 -สำนักข่าวไทย