กรุงเทพฯ 10 ก.ย. – รมว.เกษตรฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งสำรวจความเสียหายพื้นที่เกษตร เพื่อจ่ายชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลัง พร้อมกำหนดมาตรการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เสริม เพื่อให้เกษตรกรที่ยังประกอบอาชีพไม่ได้มีรายได้เลี้ยงครอบครัว
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมชลประทานว่ามีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยจากพายุโพดุลและคาจิกิรวม 27 จังหวัด ปัจจุบัน (10 ก.ย.) ยังมีพื้นที่น้ำท่วม 12 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี อำนาจเจริญ สกลนคร นครพนม และศรีสะเกษ ส่วนกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วมี 15 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ แพร่ น่าน ลำปาง อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย เพชรบูรณ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มุกดาหาร สระแก้ว ชุมพร และระนอง จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความเสียหายของพื้นที่เกษตรทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และประมงอย่างต่อเนื่อง แล้วรายงานเข้ามายังศูนย์เฝ้าระวังและบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติของกระทรวงเกษตรฯ ทุกวัน
ทั้งนี้ พื้นที่ใดทางจังหวัดประกาศเป็นเขตภัยพิบัติให้เร่งจ่ายค่าชดเชยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. 2562 นอกจากนี้ ให้ประชุมหารือเพื่อกำหนดมาตรการฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยอาจสนับสนุนพันธุ์พืช-พันธุ์สัตว์และปัจจัยการผลิต รวมถึงแนวทางอื่น เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวระหว่างกลับมาทำการเกษตรรอบใหม่
นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายของพื้นที่การเกษตรหลังน้ำลดทันที พร้อมแนะนำให้เกษตรกรดูแลข้าวและไม้ผล ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักสำคัญ สำหรับนาข้าว กรณีน้ำท่วมขังไม่นาน น้ำสูงไม่ถึงยอดข้าวและต้นข้าวยังไม่ตาย ให้รีบระบายน้ำออกจากแปลงนาเหลือ 5 – 10 เซนติเมตร จากนั้นฟื้นฟูข้าวหลังจากน้ำลด หาก 3 วันผ่านไป ต้นข้าวในนามีสีเขียวมากขึ้นไม่ต้องใส่ปุ๋ย ดูแลไม่ให้โรคและแมลงรบกวนเท่านั้น แต่หากต้นข้าวมีอาการใบเหลืองให้ใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 3 – 5 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับแปลงนาที่ข้าวออกรวงแล้วให้ระบายน้ำจนแห้งและห้ามใส่ปุ๋ย เพราะจะทำให้ดินร้อนและต้นข้าวจะตาย กรณีเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวระยะสุกเต็มที่ เพื่อหนีน้ำให้นำข้าวที่เก็บเกี่ยวไปตาก เพื่อลดความชื้นโดยเร็ว สำหรับแปลงที่ต้นข้าวตายโดยสิ้นเชิงให้เกษตรกรติดต่อขอรับการช่วยเหลือที่สำนักงานเกษตรอำเภอตามที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไว้
ส่วนไม้ผลและไม้ยืนต้นนั้น หลังน้ำท่วมใหม่ ๆ ขณะที่ดินยังเปียกห้ามนำเครื่องจักรกลหนักเข้าไปในพื้นที่ ห้ามบุคคลและสัตว์เข้าไปเหยียบย่ำบริเวณโคนต้นพืชโดยเด็ดขาดเพราะต้นไม้ที่ถูกน้ำท่วมขัง หากดินอัดแน่นจะเป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ รวมทั้งจะกระทบต่อระบบรากของพืช ทำให้ต้นไม้ทรุดโทรมและอาจตายได้ ดังนั้น เพื่อช่วยให้ต้นพืชตั้งตัวเร็วขึ้นควรมีพ่นปุ๋ยทางใบ เพราะระบบรากของพืชยังไม่สามารถดูดกินธาตุอาหารพืชจากดินได้ตามปกติ ปุ๋ยทางใบอาจใช้ปุ๋ยน้ำสูตร 12 – 12 – 12 หรือ 12 – 9 – 6 หรือจะใช้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21 – 21 – 21 และ 16 – 21 – 27 ละลายน้ำพ่นให้แก่พืช นอกจากนี้ สามารถเตรียมปุ๋ยทางใบที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเด็กซ์โตรส 600 กรัม ฮิวมิคแอซิด 20 ซีซี ปุ๋ยเกล็ดสูตร 15 – 30 – 15 จำนวน 20 กรัม ผสมสารดังกล่าวในน้ำ 20 ลิตร แล้วเติมสารจับใบลงไปเล็กน้อย และอาจใส่สารป้องกันกำจัดโรคและแมลงตามความจำเป็น และพ่นสัก 2 – 3 ครั้ง สำหรับในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เมื่อน้ำลดแล้ว หากต้องการจะปลูกพืชใหม่อาจทำได้ 2 วิธี คือ ปลูกแบบไถพรวนน้อยครั้ง โดยใช้เครื่องมือที่มีน้ำหนักเบาและทำหลังจากที่ดินเริ่มแห้งซึ่งเป็นการกำจัดวัชพืชไปด้วย อีกวิธีคือ ปลูกแบบไม่ไถพรวนซึ่งเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังเปียกชื้นอยู่
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านปศุสัตว์รวม 1,084 หมู่บ้าน 226 ตำบล 72 อำเภอ ใน 17 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สกลนคร มุกดาหาร อำนาจเจริญ นครพนม มหาสารคาม ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี เกษตรกรที่ประสบภัย 35,446 ราย ซึ่งได้ช่วยเหลือเฉพาะหน้าด้วยการอพยพสัตว์หนีน้ำ 71,261 ตัว รักษาสัตว์ 16,679 ตัว ส่งเสริมและดูแลสุขภาพสัตว์ 5,918 ตัว สนับสนุนพืชอาหารสัตว์ 420,540 กิโลกรัม และถุงยังชีพ 144 ถุง ขณะนี้เร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ที่น้ำลดแล้วเพื่อช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป
นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นทำให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำใน 20 จังหวัดได้รับความเดือดร้อนได้แก่ เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ ลำปาง พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษตร กระบี่ และตรังเนื่องจากสัตว์น้ำที่ใกล้จับจำหน่ายได้หลุดลอยไปกับน้ำหลากเกือบทั้งหมด จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า มีพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบ 29,883 ไร่ เกษตรกรเดือดร้อน 25,286 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้เพาะเลี้ยงปลานิลในกระชัง เลี้ยงปลาดุก กบ และกุ้งก้ามกรามในบ่อ มูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท ขณะนี้ยังให้สำนักงานประมงพื้นที่สำรวจอย่างต่อเนื่องแล้วรายงานมายังกรมทุกวัน จากการสอบถามนั้น เกษตรกรต้องการกลับมาประกอบอาชีพประมงรอบใหม่โดยเร็ว แต่ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านเงินลงทุน จึงต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะได้นำเสนอผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ เพื่อพิจารณาต่อไป.-สำนักข่าวไทย