กรุงเทพฯ 1 ก.ย. – รมว.เกษตรฯ สั่งเร่งระบายน้ำท่วม สำรวจความเสียหายพื้นที่เกษตรทันทีหลังน้ำลด หากผู้ว่าราชจังหวัดประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติให้เร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรตามระเบียบกระทรวงการคลัง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมชลประทานเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังทั้งในพื้นที่เกษตร พื้นที่ชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งได้รับรายงานจากกรมชลประทานว่าขณะนี้มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิจิตร น่าน พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร สกลนคร สระแก้ว ชุมพร และระนอง โดยเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว 1 จังหวัด คือ นครราชสีมา และยังคงระดมเครื่องจักร-เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถขุด พร้อมเจ้าหน้าที่จำนวนมากเข้าไปคลี่คลายปัญหาโดยเร่งด่วนแล้ว และจากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าภาวะฝนตกหนักจากพายุโพดุลจะเกิดขึ้นถึงวันนี้ (1 ก.ย.) เป็นวันสุดท้ายแล้ว ภาวะน้ำท่วมจะดีขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ สั่งการกรมส่งเสริมการเกษตรให้เตรียมเข้าสำรวจความเสียหายพื้นที่เกษตรทันทีหลังน้ำลด โดยกรมส่งเสริมการเกษตรรายงานว่ามอบหมายให้เกษตรจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากพายุโพดุล โดยเฉพาะพื้นที่ได้รับผลกระทบ 44 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้เกษตรอำเภอและเกษตรจังหวัดออกเตือนเกษตรกรเฝ้าระวังความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อผลผลิตทางการเกษตร ให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการดูแลข้าว พืชไร่ ไม้ผล เพราะช่วงนี้ บางพื้นที่เป็นช่วงที่บางพืชเก็บเกี่ยวจึงต้องเตรียมช่วยเหลือเกษตรกร และกำชับทั้งให้ทุกจังหวัดรายงานผลสำรวจให้กรมส่งเสริมการเกษตรทราบทุกวัน นอกจากนี้ ยังได้เตรียมการให้ผลิตชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโคเดอร์มา เพื่อเตรียมแจกจ่ายช่วยเหลือเกษตรกรหลังน้ำลดทันที หลังน้ำลดสารชีวภัณฑ์จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากโรคพืชที่มากับน้ำได้
ด้านมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ หากผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเขตพื้นที่การให้ความช่วยเหลือฯ เกษตรกรต้องยื่นแบบความจำนงขอรับการช่วยเหลือ (กษ 01) โดยให้ผู้นำท้องถิ่นรับรอง ก่อนจะมีการตรวจสอบทะเบียนเกษตรกรและพื้นที่เสียหายจริง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอน โดยกรมส่งเสริมการเกษตรยึดหลักปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ซึ่งเกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรไว้ก่อนเกิดภัย จ่ายเงินช่วยเหลือตามจำนวนพื้นที่จริงที่ได้รับความเสียหาย แต่รายละไม่เกิน 30 ไร่ ซึ่งกำหนดให้นาข้าวได้รับอัตราไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ได้รับไร่ละ 1,148 บาท และพืชสวนและอื่น ๆ ได้รับอัตราไร่ละ 1,690 บาท
“กำชับกรมชลประทานเร่งสูบน้ำออกจากพื้นที่เกษตรโดยเร็วที่สุด เนื่องจากหากน้ำท่วมขังไม่นานอาจไม่ส่งผลกระทบต่อพืชผล แต่หากกรมส่งเสริมการเกษตรสำรวจพบว่าพืชผลของเกษตรกรที่กำลังจะเก็บเกี่ยวผลผลิตเสียหาย นอกจากจะได้รับเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังแล้ว กระทรวงเกษตรฯ จะพิจารณามาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ตามความเหมาะสม เช่น สนับสนุนปัจจัยการผลิตสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกต่อไป รวมถึงประสานกับกระทรวงพาณิชย์หาตลาดจำหน่ายผลผลิตให้ตามนโยบายการตลาดนำการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นใจแก่เกษตรกรว่าขายผลผลิตได้แน่นอนและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง” นายเฉลิมชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย