กรุงเทพฯ 30 ส.ค.-กบง.สั่งล้มประมูลการนำเข้าแอลเอ็นจี ของ กฟผ. พร้อมสั่งทบทวนแผนนำเข้าแบบ FSRU ในอนาคต ชี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่ล้มนโยบายแข่งขัน โดยให้ กฟผ.นำเข้าแบบราคาตลาดจร (SPOT) จำนวน 2 ลำเรือ พร้อมเห็นชอบแผนสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานะคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบง.ได้พิจารณาแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ของ กฟผ. 1.5 ล้านตัน/ปี โดยมีการประมูลเสร็จสิ้นแล้วแต่ยังไม่มีการลงนามสัญญาซื้อขาย และผู้ชนะประมูลคือ ปิโตรนาสแอลเอ็นจี ซึ่งการประมูลเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 31 ก.ค.60 โดย กบง.มีมติให้ยกเลิกการประมูลดังกล่าว แต่เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายส่งเสริมการแข่งขัน ตามแนวทางการส่งเสริมบุคคลที่3 นำเข้า (Third Party Access) กบง.จึงให้ กฟผ.นำเข้าในรูปแบบราคาตลาดจร เพื่อนำมาทดสอบระบบ โดยให้นำเข้าเป็นจำนวน 2 ลำเรือ ลำละ 90,000 ตัน พร้อม ๆ กับให้ศึกษาว่าต้องทบทวนแผนการนำเข้าแอลเอ็นจีอีก 5 ล้านตัน/ปี ของกฟผ.ด้วยระบบคลังลอยน้ำ (FSRU) ว่ายังจำเป็นหรือไม่ โดยในเรื่องนี้จะต้องนำเสนอ ทบทวน ในการประชุม คณะกรรมการนโยบาย กพช.ในกลางเดือน ก.ย.นี้
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การที่กบง. มีมติดังกล่าว เนื่องจากได้พิจารณาจากสถานการณ์ LNG ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป โดยราคา LNG Spot ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในอนาคตช่วง 2–3 ปีข้างหน้า แนวโน้ม LNG จะมีราคาลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ ประกอบกับกระทรวงพลังงานได้มีการประมูลแหล่งปิโตรเลียม “บงกช-เอราวัณ” เสร็จสิ้นปริมาณก๊าซฯ ในประเทศยังผลิตได้ต่อเนื่องหลังหมดสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมปี 2565-2566 ดังนั้น ความจำเป็นในการนำเข้า LNG มีแนวโน้มเปลี่ยนไปจากเดิม
สิ่งสำคัญคือการนำเข้า LNG ของ กฟผ. ไม่ควรส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และต้องไม่ให้เกิดภาระก๊าซฯตามสัญญาหลักเหลือใช้จนเกิดภาระไม่ใช้ก็ต้องจ่ายหรือ Take or Pay ซึ่งการประมูลของ กฟผ.นั้น เป็นสัญญาระยะกลาง 8 ปี ที่ราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 8 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู และพบว่าหากต้องนำเข้าอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าถึงประมาณ 2 สตางค์ต่อหน่วย โดยอาจมีความจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนการแบ่งราคา LNG เป็น 2 Pool และข้อจำกัดของกฎหมายในกรณีที่ กฟผ. จะนำ LNG ไปจำหน่ายในตลาดอื่นก่อนดำเนินการต่าง ๆ ซึ่งจากการพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องแล้ว กบง. จึงมีมติเห็นชอบข้างต้น แต่ทั้งนี้ยังคงคำนึงถึงแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ เพื่อรักษาผลประโยชน์และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชนในภาพรวม และ หลังจากที่ กบง. มีมติดังกล่าวแล้วก็จะทำให้ กฟผ. และ ปตท. สามารถเจรจาสัญญาก๊าซหลัก หรือ Global DCQ ได้ต่อไป โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง2 องค์กรจะเจรจาในรูปแบบสัญญาปีต่อปี
นอกจากนี้ที่ประชุม กบง. ได้รับทราบ นโยบายการ ส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน โดยจะเสนอต่อที่ประชุม กพช. เพื่อจัดทำรายละเอียด โดยนโยบายนี้ เป็นการพัฒนาพลังงานสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและทิศทางพลังงานโลก ที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable) ให้พลังงานมีต้นทุนราคาเป็นธรรม และประชาชนสามารถเข้าถึงได้ (Affordable) ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างกลไกให้ชุมชนมีส่วนร่วมด้านพลังงาน และสร้างรายได้ให้กับชุมชนในระดับฐานรากของประเทศ (Energy For All) กรอบนโยบายนั้น กำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพพลังงานหมุนเวียนทั่วประเทศ สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่นั้นๆให้ชุมชนมีส่วนร่วมลงทุนโรงไฟฟ้ากับภาครัฐและ/หรือเอกชนเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบไม่เกินปี 2565 โดยราคารับซื้อกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าน้อยที่สุด มีผลประโยชน์กลับคืนสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า ส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงาน รายได้จากการขายเชื้อเพลิงจากวัสดุทางการเกษตร .-สำนักข่าวไทย
