พรรคเพื่อไทย 9 ส.ค.-7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน เห็นพ้องร่วมเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ดันตั้ง สสร. ระบุพรรคร่วมรัฐบาลหากสนใจร่วมมือได้ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน
การประชุมร่วมกันของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมีแกนเข้าร่วมประชุม อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายโภคิน พลกุล นายวัฒนา เมืองสุข คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย และตัวแทนจากทั้ง 7 พรรคการเมืองเข้าร่วมประชุม
ภายหลังการประชุม นายปิยบุตร แถลงว่า ที่ประชุม 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีความเห็นร่วมกันว่าจะรณรงค์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยหลักการสำคัญ คือ จะให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งจะมีกี่คนนั้นจะลงพื้นที่ไปทำงานร่วมกับนักวิชาการ สื่อ ภาคประชาสังคม เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จะออกมาใหม่เป็นร่างกลางที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน โดยให้ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ จากนั้นจะไปให้ประชาชนร่วมลงประชามติ นอกจากนี้จะตั้งคณะกรรมการ่วมกันทั้ง 7 พรรคเพื่อมาดำเนินการเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ในขณะเดียวกัน ในแต่ละพรรคสามารถรณรงค์ในส่วนที่ตนเองถนัดได้ ซึ่งจะรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ทวงคืนอำนาจ การจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาน”
“อย่างไรก็ตาม วันนี้สังคมเริ่มเห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญปี 60 จะนำไปสู่ทางตัน ซึ่งเราจะต้องทำรัฐธรรมนูญที่สุดท้ายแล้วเป็นของเราทุกคน ไม่ใช่เป็นเพียงเฉพาะรัฐธรรมนูญของ 7 พรรคการเมือง” นายปิยุบตร กล่าว
ด้านนายวัฒนา กล่าวว่า 7 พรรคการเมืองยืนยันว่าให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องของนิติบัญญัติ ไม่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำงานแก้ไขปัญหาปากท้องให้กับประชาชนได้ ทั้งนี้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของเราจะดำเนินการแก้ไขในระบบรัฐสภา จะมีเรื่องของความขัดแย้ง หรือความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น
นายวัฒนา กล่าวอีกว่า ขอฝากไปยังพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มาร่วมมือกันแก้ไขเพื่อประชาชน
เมื่อถามว่าจะร่วมมือกับรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลจะเริ่มต้นอย่างจริงจัง ป่านนี้น่าจะทำอะไรเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตนมองว่านโยบายเร่งด่วนข้อที่ 12 ของรัฐบาลนั้น น่าจะไม่ได้เป็นความเป็นต้องการของนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการถูกบีบและกดดันจากพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งหากทางรัฐบาลเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้และเดินหน้าจริงเมื่อไร ก็นับเป็นเรื่องดี เพราะสุดท้ายแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) ที่ประชุมสภาฯ มีมติในข้อบังคับข้อที่ 9 เรื่องการทำหน้าที่ของประธานสภาฯ เสียงข้างมาก 205 ต่อ 204 เสียง ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายค้านโหวตในสภาชนะฝ่ายรัฐบาล เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่ นายปิยบุตร กลาวว่า เมื่อวานพวกเราอยู่ในสภา เมื่อตัวเลขขึ้นจอพวกเราก็ฮือฮากันใหญ่ แต่เราก็ยังไม่ทราบว่คะแนนมาจากไหน คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมคะแนนก่อน
“แต่หากเป็นไปตามกระแสว่าพรรคเล็กจะออกจากการร่วมรัฐบาลจริง ก็จะทำให้คะแนนคู่คี่ สูสี ทั้งนี้ที่ผลออกมาแบบนี้ ไม่ใช่การชิงไหวชิงพริบกันแต่อย่างใด แต่เรื่องนี้เป็นดอกผลของรัฐธรรมนูญปี 60 ที่คุณออกแบบมา เสียงของรัฐบาลจะปริ่มน้ำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา ตนจึงขอฝากไปยังนายกรัฐมนตรีให้ท่านได้เห็นถึงพิษภัยของรัฐธรรมนูญปี 60 ท่านจะต้องนั่งลุ้นทุกวัน นั่งลุ้นทุกเดือน” นายปิยบุตร กล่าว
ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในระบบรัฐสภา เราหวังความร่วมมือจากทุกพรรคการเมือง โดยนำประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและปัญหาของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง อะไรที่ร่วมมือกันแล้ว ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น เราควรจะร่วมมือกัน อยากเห็นผลสัมฤทธิ์ของการแก้ปัญหามากกว่าเราไปดึงเล่นเกมการเมืองกัน ซึ่งรัฐรรมนูญฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอยู่ เราจึงควรร่วมมือกันทำให้เกิดเป็นฉันทามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญแล้วทำให้ปัญหาของประชาชนได้รับการแก้ไข เราจะร่วมมือกับทุกฝ่าย
ด้านนายสงคราม กล่าวว่า การที่ 7 พรรคฝ่ายค้านร่วมมือกันได้ เพราะเรามีความจริงใจต่อกัน และพวกราไม่คุยกันเรื่องผลประโยชน์ว่าใครจะได้ หรือใครจะเป็นอะไร ดังนั้นใครจะมาร่วมกับเราก็ได้ ถ้ามีอุดมการณ์เดียวกัน ตรงนี้ไม่ใช่มาต่อรองเรื่องผลประโยชน์หรือตำแหน่ง.-สำนักข่าวไทย