กรุงเทพฯ 21 มิ.ย. – ตลท.หนุนระดมทุนโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน พร้อมส่งเสริมนักลงทุนโลกเข้ามาใช้ตลาดทุนอาเซียนเป็นที่ลงทุน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้สัมภาษณ์ในช่วงเข้าร่วมงานประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจอาเซียน หรือบลูมเบิร์ก อาเซียน บิสสิเนส ซัมมิต (Bloomberg ASEAN Business Summit) ครั้งที่ 5 โดยระบุว่าปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นตลาดขนาดใหญ่ในอาเซียน มีขนาดตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับ 2 มีสภาพคล่องอันดับ 1 มีการระดมทุนมากที่สุดในอาเซียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงต้องการผลักดันให้โครงการการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งในภูมิภาคอาเซียนยังต้องการอยู่มากสามารถใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนมากขึ้น ผ่านความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ และภาครัฐ ทั้งในกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศ CLMV และจะส่งเสริมให้นักลงทุนโลกเข้ามาใช้ตลาดทุนอาเซียนเป็นที่ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านการระดมทุนของตลาดทุนไทย นายภากร กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนที่มีความต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยมีการระดมทุนปีละประมาณ 250,000 ล้านบาทมาโดยตลอด และเป็นแหล่งระดมทุนใหญ่ที่สุดในอาเซียน 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งมีความมั่นใจว่าในอนาคตตลาดทุนไทยจะเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นอนาคตในภูมิภาคยังมีความต้องการระดมทุนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น CLMV ธุรกิจไทยทั้งที่ทำธุรกิจในไทยและทำธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทต่างประเทศมาระดมทุนทำธุรกิจในภูมิภาค จะเห็นระดมทุนเหล่านี้มากขึ้น
ส่วนความผันผวนของเศรษฐกิจโลกนับเป็นสิ่งท้าทาย เพราะปัจจุบันโลกเชื่อมโยงกันทั้งหมด ดังนั้น จะต้องหาทางใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือการลงทุนที่จะทำให้ตลาดเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่พยายามทำและแก้ไขตลอด เริ่มมีโซลูชั่นหลายแนวทางแล้ว เช่น การจดทะเบียนข้ามตลาด หรือ CROSS LISTING ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นับเป็นเรื่องที่จะต้องพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น ดังนั้น ความร่วมมือของภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น โครงการลงทุนภาครัฐกำลังพยายามตกลงในระดับ CLMV และระดับอาเซียนจะช่วยให้เกิดการระดมทุนสะดวกขึ้น
ภายใต้รัฐบาลใหม่ของไทยนั้น นายภากร เห็นว่า รัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นผลการทำงานแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ รัฐบาลพยายามให้เกิดการระดมทุน ทำให้การทำธุรกิจในประเทศไทยง่ายขึ้นด้วยการปรับให้ระดับ ease of doing business ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันด้านการระดมทุนของกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพ หรือธุรกิจเอสเอ็มอี ให้ใช้ตลาดทุนมากขึ้น จึงมีความมั่นใจว่าด้วยนโยบายที่ต่อเนื่องของรัฐบาลจะสามารถทำให้ตลาดทุนไทยเติบโตขึ้นได้.-สำนักข่าวไทย