กรุงเทพ ฯ 8 ก.ค. – ตลท. เผยมูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยในเดือนมิถุนายน 2563 คึกคักมาก ทำนิวไฮในรอบ 30 เดือน โดยพบนักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในหุ้น SET 50 และ SET 100
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( ตลท.) เปิดเผยว่าในเดือนมิถุนายน มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันมีความคึกคักมาก โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 77,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นเดือนที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่สูงที่สุดในรอบ 30 เดือน และสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติการณ์ ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2563 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมอยู่ที่ 68,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมาจากผู้ลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะรายย่อยเป็นหลัก สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 48.76 % จาก 47.17 % ของมูลค่าการซื้อขายรวม เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยปรับตัวลงมาถึง 30 % แต่มีการจ่ายเงินปันผล 3-4 % เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นมีความน่าสนใจ
นายภากร กล่าวด้วยว่าเริ่มเห็นสัญญาณความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น สังเกตจากผู้ลงทุนต่างชาติที่มีแนวโน้มขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยลดลงและกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมามีกิจกรรมการระดมทุนในตลาดแรกและเริ่มทยอยนำหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในนตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป และคาดว่าจะมีหุ้น IPO จะมีเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงเป็นผู้นำของภูมิภาคในด้านมูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนรายย่อยหน้าใหม่ส่วนใหญ่เป็นนิวเจนเนอเรชั่น โดยเกินกว่าครึ่งเป็นการลงทุนใน SET 50 และ SET 100 ซึ่งเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ส่วนภาพรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 SET Index ปิดที่ 1,339.03 จุด ลดลง 0.3% จากเดือนก่อน ทั้งนี้หากพิจารณาผลตอบแทนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะเพิ่มขึ้น 2.8% โดยเกือบทุกอุตสาหกรรมปรับตัวดีกว่า SET Index ยกเว้น กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ส่วนForward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ระดับ 20.5 เท่า และ 18.7 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า และ 16.0 เท่าตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ระดับ 3.70% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.15%.-สำนักข่าวไทย