สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 19 มิ.ย.-ทีมกม.พปชร.ตรวจสำนวน 27 ส.ส.โดนร้องถือหุ้นสื่อ เตรียมยื่นศาลรธน.คุ้มครองชั่วคราวไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ หวั่นกระทบงานสภา ชี้ไปเปรียบกรณีธนาธรไม่ได้
นายทศพล เพ็งส้ม หัวหน้าทีมต่อสู้คดีหุ้นสื่อของ 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ตรวจสำนวนคำร้องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า 41 ส.ส.ที่ถือครองหุ้นสื่อเข้าข่ายขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่ โดยนายทศพล กล่าวว่า มาตรวจสำนวนเพื่อจะได้รู้ว่าสภาฯส่งเอกสารอะไรมาบ้างจะได้วางแผนการต่อสู้ถูก แต่ก่อนหน้านี้ได้แบ่งกลุ่มคดี เป็นกลุ่มคดีที่มีความเสี่ยง กลุ่มคดีกลาง ๆ และกลุ่มคดีที่มีความคาบเกี่ยวกัน เพราะวิธีการต่อสู้ในแต่ละกลุ่มคดีไม่เหมือนกัน ขณะเดียวกันทางพรรคได้หารือกับพรรคร่วมถึงวิธีการต่อสู้คดี ในกรณีของส.ส.พรรคนั้นถูกยื่นร้องด้วย รวมถึงจะยื่นร้องส.ส.ของ 7 พรรคที่ถือหุ้นสื่อ โดยจะมีอีกทีมงานหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ
นายทศพล กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่กลัวเมื่อศาลรับคำร้องแล้วจะสั่งให้ส.ส.ที่ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่คณะทำงานต้องหาเหตุผลว่า 27 ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐไม่เหมือนกรณีอื่น จึงไม่ควรที่ศาลจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยจะนำข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาตัดสิทธินายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัครส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จ.สกลนคร และนายคมสัน ศรีวนิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาชาติ จ.อ่างทองที่มีความแตกต่างกัน มาพิจารณาว่าข้อเท็จจริงในคดีมีประเด็นใดบ้างที่ศาลรับฟังและไม่รับฟัง เช่น เรื่องการจดทะเบียนวัตถุประสงค์บริษัท ที่หลายคนต่อสู้ว่าใช้แบบฟอร์มสำเร็จรูปของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถ้าเป็นแบบฟอร์มของกระทรวงพาณิชย์จริง ควรเป็นแบบพิมพ์มาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ในแบบฟอร์มที่ระบุว่าทำสื่อกลับอยู่ในลำดับที่แตกต่างกัน ซึ่งรายละเอียดแบบนี้ยากมากในการต่อสู้ เพราะส.ส.พรรคพลังประชารัฐบางคนมีถึง 3-4 บริษัท ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมีเอกสารราชการตรวจสอบ โดยแจ้งให้ส.ส.แต่ละคนทำรายละเอียดมา
“บางคนไม่เข้าใจ อ้างว่ากรอกไปตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ซึ่งในความเป็นจริงอยู่ที่ตัวเราว่าจดทะเบียนอย่างไร บางคนเลือกจดไปก่อนทำหรือไม่ทำก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาโดยศาลฎีกามองว่า เมื่อคุณจดทะเบียนวัตถุประสงค์ไว้ เท่ากับมีวัตถุประสงค์จะทำสื่อ ทำให้ขัดรัฐธรรมนูญ อีกทั้งกรณีนี้มีการยื่นผ่านประธานสภาฯ ซึ่งก็ทำหนังสือส่งต่อมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีรายละเอียดของพยานหลักฐาน ไม่เหมือนกับคดีที่ร้องผ่าน กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่กกต.ตรวจสอบแล้วว่าโอนหุ้นวันไหน โอนหุ้นเมื่อไหร่ จ่ายเงินเมื่อไหร่ เมื่อคดีมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจะต้องวางมาตรฐานว่าระหว่างวัตถุประสงค์ที่ระบุในเอกสารราชการ กับสิ่งที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง อะไรฟังได้ ไม่ได้” นายทศพล กล่าว
นายทศพล กล่าวว่า ไม่เกินสัปดาห์หน้าจะยื่นคำร้องพร้อมเหตุผลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อไม่สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ของ 27 ส.ส. เพราะถ้าศาลสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับผลกระทบกับการทำงาน เพราะไม่ใช่เพียงกระทบถึงการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.เท่านั้น แต่ยังกระทบต่อการบริหารงานของรัฐบาลด้วย เพราะรัฐบาลยังไม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
“ผมมีหน้าที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ 27 ส.ส.ยังสามารถทำหน้าที่อยู่จนจบภารกิจ และไม่อยากให้สังคมเอาไปเปรียบเทียบกับกรณีสั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐาน เพราะการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีไม่เหมือนกัน การที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาการต่อประชุมสภาฯ แต่ของเรามันจะเกิดปัญหาทางลบยิ่งกว่า คือรัฐบาลจะไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายได้ เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงจะไปเทียบกับกรณีของธนาธรไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน อย่าเอามารวมกัน กรณีหุ้นสื่อของ 41 ส.ส.ที่ถูกพรรคอนาคตใหม่ยื่นต่อประธานสภาฯ อาจจะคล้ายกัน คือถือหุ้นสื่อ แต่ข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน” นายทศพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 มิ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมเวลา 13.30 น. และเลิกประชุมเวลา 15.20 น. โดยที่ประชุมได้พิจารณาวาระทั่วไปและคดีอื่น ๆ แต่ไม่ได้พิจารณากรณีความเป็นรัฐมนตรีของ 4 รัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากถือครองหุ้นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ รวมทั้งคดี 41 ส.ส.ถือหุ้นสื่อด้วย.-สำนักข่าวไทย
