ตลท.5 มิ.ย. – สภาธุรกิจตลาดทุนไทยจี้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชะลอผลกระทบสงครามการค้า หนุนเร่งสร้างความเชื่อมั่นดึงเงินไหลเข้าไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาทในปีนี้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ถือเป็นข่าวดีที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยอยากให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค เพราะขณะนี้เศรษฐกิจและการส่งออกชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดแรงขับเคลื่อนต่อ นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วง คือ การบริหารจัดการในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ เพราะรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนเพียง 254 เสียง เกินมาเพียง 4 เสียง ซึ่งต้องติดตามการผสมผสานนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลกว่า 20 พรรคการเมืองให้มีเสถียรภาพและบริหารจัดการกิจกรรมในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ หากทุกอย่างราบรื่นและผลักดันนโยบายสำคัญได้ เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าไทยประมาณเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท หรือ 60,000 ล้านบาทในปีนี้ หลังจากวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิวันเดียว 5,000 ล้านบาท จะหนุนให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสถึงระดับ 1,750 จุดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ คือ กลุ่มการบริโภคและรับเหมาก่อสร้าง
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า คือ เดือนสิงหาคม 2562 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 87.20 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากระดับ104.59 ในครั้งก่อน ลดลงร้อยละ 16.59 ลดลงต่อเนื่องอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเป็นเดือนที่ 3 โดยกลุ่มบัญชีหลักทรัพย์ลดลงมากที่สุดจากระดับ 127.27 มาอยู่ที่ 71.43 เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน สถานการณ์การเมืองในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจในประเทศ
ด้านนางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ส่งสัญญาณอาจจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน บวกกับการเมืองไทยมีความชัดเจนเรื่องรัฐบาลใหม่ และนักลงทุนยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยจำนวนมากในเดือนมิถุนายน จากยอดขายสุทธิ 50,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 เหลือขายสุทธิ 26,000 ล้านบาท ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2562 โดยนักลงทุนถือครองตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุมากกว่า 1ปี จำนวน 847,000 ล้านบาท ส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นเพียง 93,000 ล้านบาท. – สำนักข่าวไทย