กทม.13 พ.ค.-หุ้นไทยร่วงต่อหวั่นสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ด้านแบงก์ชาติออกโรงโต้ไม่ได้แทรกแซงค่าเงินให้ได้เปรียบการค้ากับสหรัฐ
วันนี้ ปิดตลาดหุ้นไทยวันนี้ ร่วงลง 8.56 จุด ที่ระดับ 1,640.13 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,044.11 ล้านบาท เป็นไปตามหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ติดลบ ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ติดลบ ซึ่งหุ้นไทยก็มีปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่รุมเร้า ในประเทศก็เป็นกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่เรียกได้ว่าฝุ่นตลบ พรรคเล็กเล็ก พร้อมร่วมมือ พปชร.
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ คือ กังวลสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ยังคงยืดเยื้อ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเป็น 25% จากเดิม 10% และขณะนี้ก็ให้คณะทำงานศึกษาที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก ขณะที่จีนก็ได้ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า ตลาดก็กังวลจะทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา หลังจากจีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า เงินหยวนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 เดือน วันนี้ ที่ระดับ 6.88 หยวนต่อดอลลาร์ นักวิเคราะห์คาดว่า เงินหยวนจะร่วงลงในช่วง 5-6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 เดือนหน้านี้ ซึ่งเป็นกลไกในการรองรับภาวะผันผวนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากที่จีนถูกเก็บภาษีสินค้าเพิ่มขึ้น
การตอบโต้ทางการค้าที่รุนแรงก็เป็นผลมาจากสหรัฐนั้น ขาดดุลการค้าและก็มีข่าวที่สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานด้วยว่า สหรัฐจะเพิ่มจำนวนประเทศที่ถูกตรวจสอบการแทรกแซงค่าเงินจาก 12 ประเทศ เป็น 20 ประเทศ โดยมีรายชื่อประเทศไทยรวมอยู่ด้วย ในกรณีนี้ นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ไทยไม่ได้แทรกแซงค่าเงิน เพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐ เพียงแต่ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่บ้าง จึงอาจมีชื่ออยู่ในบัญชีของประเทศที่จะมีการติดตามต่อไป ซึ่งไทยพร้อมที่จะหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับสหรัฐ อย่างต่อเนื่องต่อไป โดย รายงานเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน (FX report) ของกระทรวงการคลังสหรัฐ เป็นเรื่องที่ ธปท.ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้แทนสหรัฐมาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องการทำงานของกระทรวงการคลังสหรัฐ สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดการเงินโลก และมุมมองของประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่จำเป็นต้องดูแลความผันผวนของค่าเงิน
ล่าสุดเงินบาท ไทย เคลื่อนไหวที่ 31.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า ความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ในรอบนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลลบต่อเงินหยวน แต่กลับมากดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ให้อ่อนลงด้วย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่แตกต่างจากปี 2561 ในครั้งนั้นดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ย
ปัจจัยความกังวลสงครามการค้ารอบนี้ก็เกรงว่าจะกระทบหนักต่อเศรษฐกิจโลกและกระทบมานยังเศรษฐกิจไทย ภาคการส่งออกขณะนี้เริ่มมีเสียงออกมาระบุว่าอาจจจะโตไม่ถึงร้อยละ 3 และ อาจจะกระทบต่อการท่องเที่ยวด้วยเพราะหากเศรษฐกิจจีนถดถอยนักท่องเที่ยวจีน อาจมาไทยน้อยลง นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุยอาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ต่ำกว่า 3.5% จากเดิมที่คาดจะขยายตัว 3.8%
แต่บนความเสี่ยง ก็เป็นส่วนที่ไทยอาจมีโอกาส นายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยบอกว่ามองว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในทางบวก อาจจะมีทั้งการลงทุนและคำสั่งซื้อมาในไทยทดแทน หากการเมืองไทยจัดตั้งรัฐบาลและเดินหน้าทำงานอย่างเข้มแข็ง เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตบวกลบที่ร้อยละ 4 ส่วนส่งออกปีนี้โตประมาณร้อยละ 4-6 ตามกรอบที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันประเมินไว้
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การขึ้นภาษี 25%ของสหรัฐอาจจะจะทำให้สินค้าไทยส่งออกไปสหรัฐ เพื่อทดแทนจีนได้เพิ่มขึ้นอีก เช่น ยานพาหนะและส่วนประกอบ อาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม ขณะเดียวกัน แม้การขึ้นภาษีสินค้าจีนเมื่อเดือน ก.ย.61 ทำให้การส่งสินค้าไทยที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีนไปยังจีน ลดลงมาก เช่น ยานพาหนะและชิ้นส่วน อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้าน เครื่องจักรและส่วนประกอบ แต่ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้ากลุ่มอื่นๆ ไปจีนได้อีก เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเครื่องสำอาง อาหารปรุงแต่ง ซึ่ง2 ประเทศ เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยไทยส่งออกไป 2 ประเทศคิดเป็นสัดส่วน 25% ของการส่งออกรวมของไทย เท่ากับอาเซียน 10 ประเทศ ไทยจึงต้องแสวงหาโอกาสจากสงครามการค้าและรักษาสัดส่วนสินค้าไทยในตลาดทั้ง 2ให้ได้ ซึ่งในด้านการดูแลเศรษฐกิจไทย รัฐบาลได้หวั่นผลกระทบสงครามการค้า ก็ได้ออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจมาก่อนหน้าหนี้ และพยายามเร่งรัดการลงทุน วันนี้ บอร์ดอีอีซีหรือคณะกรรมการนยโบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก ได้เห็นชอบให้กลุ่มซีพี ลงทุนรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คือดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา เสนอ ครม.อนุมัติร่วมทุน 28 พ.ค. ก่อนลงนามในสัญญา 15 มิ.ย.นี้
โครงการนี้มีระยะทาง 220 กม. มูลค่าโครงการ 224,544.36 ล้านบาท และเร่งรัดการประมูลอีก 4 โครงการขนาดใหญ่ที่เหลือ ซึ่งหลายโครงการจะประกาศผู้ชนะการประมูลใน1-2 เดือนนี้ โดยโรงการที่เหลือได้แก่.สนามบินอู่ตะเภา,.ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 และ .ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มีมูลค่ารวมกันราว 5.71 แสนล้านบาท และทุกโครงการจะเป็นการร่วมลงทุนภาครัฐ (PPP) ตามแผนดำเนินการแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2566-2568.-สำนักข่าวไทย