กรุงเทพฯ 25 ส.ค.-บลจ.ธนชาต คาดสิ้นปี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิการบริหารจะแตะ 200,000 ล้านบาท ระบุกองทุนที่ลงทุนในหุ้นความเสี่ยงต่ำหรือ Low Beta ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะตอบโจทย์คนอยากลงทุนในหุ้น ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แต่ไม่อยากรับความผันผวนราคาหุ้น
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทคาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2559 จะเติบโตราวร้อยละ 20 จากสิ้นปี 2558 มี AUM อยู่ที่ 160,000 ล้านบาท และผ่านมา 7 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 190,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถแตะระดับ 200,000 ล้านบาทได้ ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของกองทุนรวมเป็นส่วนใหญ่
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบลจ.ธนชาต ออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 37 กองทุน แบ่งเป็น ทริกเกอร์หุ้นไทย 4 กองทุน กองทุน FIF 1 กองทุน กองทุนผสมตราสารหนี้ 1 กองทุน กองทุนผสมอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน และกองทุนหุ้น Prime Low Beta 1 กองทุน ที่เหลือจะเป็นกองทุนเทอมฟันด์ ซึ่งกองทุนเด่นอย่างกองทุนเปิดธนชาต Low Beta (T-LowBeta) ที่ลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำกว่าตลาด เน้นลงทุนในหุ้นที่ธุรกิจไม่ได้ขึ้นกับวงจรเศรษฐกิจมากนัก เป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่งพบว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหุ้น เพราะเริ่มไม่พอใจกับดอกเบี้ยของเงินฝาก แต่ก็ไม่สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นได้มากนัก
หลังจากนี้ คาดว่าจะเปิดกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำเช่นกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน LTF เพราะ บลจ.ธนชาต มองว่าหุ้นประเภทนี้กำลังได้รับความนิยม และสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทน บนความผันผวนที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกต่อจากนี้จะขยายตัวได้จำกัด และมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าดอกเบี้ยจะติดลบในหลายภูมิภาค และราคาน้ำมันจะถูกลงมากก็ตาม นอกจากนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ออกมายังเป็นในลักษณะประคองตัว จึงมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังสามารถรอการขึ้นดอกเบี้ยได้ และหากจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ก็คงจะขึ้นได้ไม่เกิน 1 ครั้ง
“สำหรับการกลยุทธ์การลงทุนก็ยังแนะให้นักลงทุนกระจายการลงทุน เนื่องจากตราสารหนี้โลกยังมีปัจจัยความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่ยังกดผลตอบแทนอยู่ และจะเห็นได้ว่าเงินเริ่มไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ส่วนตลาดเกิดใหม่เริ่มฟื้นตัว แนะนำให้เลือกลงทุนเป็นรายตัว หรือเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ -สำนักข่าวไทย