กรุงเทพฯ 22 มี.ค. – ปตท.สผ.คาดยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 3.44 แสนบาร์เรล/วัน และ EBITDA ปีนี้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 16% หลังเข้าซื้อ “เมอร์ฟี่ ออยล์”ในมาเลเซีย
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) เปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการของเมอร์ฟี่ ออยล์(ผู้ผลิตปิโตรเลียมในสหรัฐ )ในมาเลเซีย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/2562 ก็จะทำให้คาดว่าปริมาณขายปิโตรเลียมเข้ามาในปีนี้เพียง 24,000 บาร์เรล/วัน จากแต่ละปีจะรับรู้ปริมาณขายรวม 48,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณขายปิโตรเลียมของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นราว 344,000 บาร์เรล/วัน จากเป้าหมายเดิมที่ประมาณ 320,000 แสนบาร์เรล/วัน และคาดว่ากำลังผลิตของเมอร์ฟี่ ออยล์ คาดว่าจะเพิ่มระดับการผลิตเพิ่มขึ้นในปี 63 ซึ่งเมื่อคิดตามสัดส่วนร่วมทุนก็จะทำให้ปริมาณขาย เพิ่มขึ้นเป็น 60,000 บาร์เรล/วันในปี 63 จาก 48,000 บาร์เรล/วันในปัจจุบัน
“เมอร์ฟี่ออยล์ ยังประกาศขายกิจการในบรูไนและเวียดนาม ซึ่ง ปตท.สผ.ขอพิจารณาความเหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการในมาเลเซีย จะส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 16% จากระดับ 3,860 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว รวมถึงจะทำให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของบริษัทเพิ่มเป็น 6 ปีจากเดิม 5 ปี” นายพงศธรกล่าว
เมื่อวานนี้ (21 มี.ค.) ปตท.สผ.เข้าซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ ในมาเลเซีย มูลค่า 2,127 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแหล่งปิโตรเลียมทั้งหมด 5 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการซาบาห์ เค 2. โครงการเอสเค 309 และเอสเค 311 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้อยู่ในระยะการผลิต มีกำลังการผลิตราว 100,000 บาร์เรล/วัน และจะเพิ่มเป็น 140,000 บาร์เรล/วันในอีก 4 ปีข้างหน้า ก็จะทำให้รับรู้รายได้จากปริมาณขายตามสัดส่วนการลงทุนของเมอร์ฟี่ ออยล์ เข้ามาทันทีปีละ 48,000 บาร์เรล/วัน
3. โครงการซาบาห์ เอช อยู่ระหว่างพัฒนา มีแผนจะเริ่มการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปี 63 มีการผลิตก๊าซธรรมชาติปริมาณ 270 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ให้กับโครงการ FLNG2 ของปิโตรนาส 4.โครงการเอสเค 314 เอ และ 5.โครงการเอสเค 405 บี โดย 2 โครงการสุดท้ายอยู่ในขั้นการสำรวจ
นายพงศธร กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะสร้างอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ให้กับบริษัทในช่วง 10-15% โดยสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทราว 300-500 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ขณะที่โครงการของเมอร์ฟี่ ออยล์ มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนราว 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี
อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมทบทวนแผนลงทุน 5 ปี (ปี 62-66) ใหม่ จากเดิมที่อยู่ระดับ 16,105 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังการเข้าซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ ครั้งนี้ และการได้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ในโครงการบงกชและเอราวัณ รวมถึงการจะเริ่มลงทุนพัฒนาโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ โดยคาดว่าแผนลงทุนใหม่จะประกาศได้ในช่วงกลางปีนี้ ทั้งในส่วนของงบลงทุน ,ปริมาณขายปิโตรเลียม และแผนทางการเงิน
สำหรับแผนทางการเงินนั้น บริษัทได้ใช้เงินสดที่มีอยู่ราว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อซื้อกิจการของเมอร์ฟี่ ออยล์ ในมาเลซีย จำนวน 2,127 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้คงเหลือเงินสดราว 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยขณะนี้บริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำราว 0.16 เท่า จากนโยบายที่จะมี D/E ไม่เกิน 0.5 เท่า ทำให้ยังมีศักยภาพในการกู้ราว 3,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาหลังยังมองโอกาสการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรอบประเทศ ทั้งในไทย ,มาเลเซีย และเมียนมา
นายพงศธร กล่าวถึงความคืบหน้าการประกาศการตัดสินใจขั้นสุดท้าย (FID) ในโครงการโมซัมบิกนั้น คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือน พ.ค. ส่วนความคืบหน้าธุรกิจโรงไฟฟ้า (Gas to Power) ในเมียนมา คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ปีนี้ . – สำนักข่าวไทย