ฉะเชิงเทรา 20 มี.ค.- นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ฉะเชิงเทราติดตามโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ระบุในอนาคตประเทศไทยเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านยานยนต์และยางล้อมาตรฐานสากล
วันนี้ (20 มี.ค.) ที่บริเวณเขตสวนป่าลาดกระทิง ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing , Research and Innovation Center – ATTRIC) ภายในกรอบวงเงิน 3,705.7 ล้านบาท รัฐเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 และระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี บนพื้นที่ 1,234.98 ไร่ เพื่อให้บริการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อตามมาตรฐานสากล โครงการระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 ประกอบด้วย สนามทดสอบยางล้อ เพื่อใช้ทดสอบยางล้อในรายการเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน และการยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก ขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จและได้รับการรับรองจาก Applus+IDIADA ราชอาณาจักรสเปน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล โดยในส่วนของห้องปฏิบัติการทดสอบเพื่อใช้ทดสอบยางล้อ ในรายการความต้านทานการหมุน และอาคารสำนักงานจะก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปีนี้
ระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ขณะนี้ได้ออกแบบและปรับพื้นที่เสร็จแล้วเพื่อรองรับการก่อสร้างสนามทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน รวม 5 สนาม คือ สนามทดสอบระบบเบรก (Brake Performance) สนามทดสอบระบบเบรกมือ (Park Brake) สนามทดสอบเชิงพลวัต (Dynamic Platform) สนามทดสอบการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง (Skid – Pad) สนามทดสอบสมรรถนะยานยนต์ (Long Distance and High Speed)
ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในเอกสารแสดงสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ระยะที่ 2 พร้อมให้นโยบายในการดำเนินงานโครงการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการยานยนต์ไทยว่า ศูนย์ทดสอบยานยนต์ฯ เป็นกลไกสำคัญของประเทศไทย ช่วยเร่งรัดการพัฒนาการมาตรฐาน การวิจัยและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อยกระดับให้เป็นอุตสาหกรรม 4.0 โดยประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการคือ ช่วยให้ผู้ประกอบการลดเวลาในการส่งทดสอบผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วนลงอย่างน้อย 2 เดือน เนื่องจากไม่ต้องส่งไปทดสอบที่ต่างประเทศและประหยัดค่าใช้จ่ายในการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ปีละ 119 ล้านบาท อีกทั้งยังช่วยดึงดูดนักลงทุนอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เกิดปริมาณการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 40 หรือประมาณ 150,000 ตัน เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพาราในประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร เกิดการจ้างงานในพื้นที่ รวมถึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าในอนาคต.-สำนักข่าวไทย