ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 11 มี.ค.-นายกฯ ระบุหากอนาคตได้เข้ามาทำหน้าที่ สัญญาจะทำให้ดีที่สุด เปรียบเสมือนอยู่ในสนามรบ ต้องทำให้สำเร็จ ยืนยันไม่ได้เปลี่ยนตัวตน แต่อยากแต่งตัวหล่อและดูสบาย ๆ เมินนักการเมืองไม่หนุนนั่งนายกฯ ต่อ มองเป็นเรื่องธรรมดา
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางมาร่วมรับฟังการบรรยายของ Salim Ismail นักธุรกิจและนักเขียนด้านเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียง ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่ทำมา 4-5 ปี กำลังจะผลิดอกออกผล สิ่งที่ลงทุนจะเกิดอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการที่จะอยู่ในหน้าที่ ต้องใช้อำนาจที่เด็ดขาด และต้องใช้อย่างระมัดระวัง ต้องทำงานแบบพลังประชารัฐ ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรคใดทั้งสิ้น เพราะพลังประชารัฐเกิดมาก่อน สิ่งสำคัญในวันนี้ คือ ความร่วมมือของทุกคน และที่กังวล คือ เศรษฐกิจระดับล่าง ซึ่งคนที่เป็นผู้นำ ต้องช่วยกันขับเคลื่อนให้ทุกคนพยายามเดินไปข้างหน้า เพราะถ้าไม่เริ่มก้าวแรก ก้าวต่อไปก็ไปไม่ได้ อาจหกล้ม ซึ่งวันนี้เดินมาหลายอย่างแล้ว และคิดว่าไม่ควรจะกลับไปที่เดิม ทั้งนี้ ตนไม่ได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่สัญญาว่าถ้ามีโอกาสได้ทำต่อไป เช่น ใน 3-4 เดือนข้างหน้า ตนจะทำให้มากและให้ดีที่สุด นั่นคือสัญญาของตน ซึ่งตนก็อยู่ในหน้าที่มา 5 ปีแล้ว และสิ่งที่พูดวันนี้ ไม่เกี่ยวกับการเมืองแต่อย่างใด
“วันนี้ทุกอย่างจำไว้ต้องเดินก้าวแรกเสมอ ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ถือเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้ทำอนาคตให้พวกท่าน เพื่อให้ทุกคนได้มีอนาคต ผมอาจจะเป็นคนเสียงดังโวยวาย แต่ผมทำและรับผิดชอบ และต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ กลับบ้านไม่ได้ คำว่ากลับบ้านไม่ได้ หมายถึงถ้าอยู่สนามรบ อยู่ชายแดน ถ้ามีรบ ถ้าแพ้กลับบ้านไม่ได้ ตายอย่างเดียว วันนี้เราไม่ได้สู้กับใคร เราต้องหยุดความขัดแย้งให้ได้ อย่าไปใช้อารมณ์ หลายคนบอกว่าช่วงนี้นายกฯ เปลี่ยนไป ผมไม่เคยเปลี่ยน ผมทะเลาะกับนักข่าวเท่านั้น เพราะคำถามของเขา ผมไม่เคยทะเลาะกับใคร อย่ารังเกียจผมนักเลย บางครั้งคนเรา ถ้าเป็นตัวตนอย่าไปบิดเบือนมาก บางครั้งผมก็เป็นศิลปินบ้าง โมโหบ้าง แต่วันนี้พอลุคใหม่ ก็มองว่าไม่ใช่ตัวตน ซึ่งบางครั้งผมก็อยากจะหล่อเหมือนกัน ไม่ใช่หรือ หลายคนก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้สบาย ๆ ผมก็อยากเป็นบ้าง ให้อภัยผมเถอะ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า การที่เดินทางมาร่วมงานวันนี้ เนื่องจากตนติดตามผลงานของ Salim Ismail เพราะการทำงานทั้งหมดในทุกวันนี้ บางอย่างก็เอาความรู้มาจากตำราและผู้มีความรู้ต่าง ๆ ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกัน ทำให้รู้ว่า Salim Ismail มีความชื่นชมในประเทศไทย เพราะเห็นถึงศักยภาพของไทย เพียงแต่ต้องจัดระบบให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนภาคการเกษตร เช่น การลดต้นทุนและเกษตรแปลงใหญ่ และย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล และย้ำว่าการแก้ปัญหาทุกอย่างต้องมีก้าวแรก และที่ผ่านมารัฐบาลก็มีผลงานมาก และวันนี้รัฐบาลเร่งรัดให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาส เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า จากนี้ไป ตนไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่คิดว่าจะมีคนที่นำพาประเทศชาติไปข้างหน้า ด้วยความรับผิดชอบ ด้วยจิตสำนึกในหน้าที่ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำในสิ่งที่มีวัตถุประสงค์อย่างอื่น ซึ่งตนยืนยันว่าไม่คิดแบบนั้น จึงฝากให้ทุกคนช่วยคิด และให้คนรุ่นเก่า คนรุ่นกลาง และคนรุ่นใหม่ ร่วมเดินหน้าไปด้วยกัน ทั้งนี้คนรุ่นเก่า เช่น ตน ต้องช่วยกันสร้างอนาคตและชีวิตที่ดีกว่าให้คนรุ่นหลัง และประชาชนที่ลำบาก จึงขอให้นักการเมืองคิดนโยบายในลักษณะนี้ออกมาบ้าง ไม่ใช่พูดเฉพาะเรื่องการที่จะให้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ตนไม่ขอวิจารณ์ความคิดคนอื่น
“จากที่ผมให้สัญญาบนเวทีว่าหากอนาคต 3-4 เดือนข้างหน้าได้กลับมาทำหน้าที่อีก ก็จะพยายามทำให้ประสบความสำเร็จ ส่วนทีมงานที่จะมาช่วยกันนั้น ก็จะต้องคัดสรร และไม่สามารถใช้ทีมเดิมได้ทั้งหมด ซึ่งจะมาจากฝ่ายการเมืองด้วย แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มตามหน้าที่ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ และต้องทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบได้มากที่สุด เพราะทุกอย่างมีกรอบกฎหมายดูแลอยู่ ส่วนเรื่องการเมืองก็ว่ากันไปในเรื่องการเมือง ซึ่งหากผมได้ทำหน้าที่ ก็จะต้องดูแลทุกอย่างให้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่การเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชน ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง เป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องแก้ไขต่อไป ขณะเดียวกันต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ เนื่องจากไม่เคยมีกรณีที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์จำนวนมากขนาดนี้ และขออย่าโทษกันไปมา เพราะที่สำคัญขอให้ทุกอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
ส่วนคำพูดที่ว่า หากเปรียบอยู่ในสนามรบ และภารกิจไม่สำเร็จ จะกลับบ้านไม่ได้นั้น นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ทุกอย่างต้องทำให้สำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาด้วยว่าจะสั่งการอย่างไร เพราะหากดูแล้วไม่คุ้มค่า ก็อาจจะสั่งให้กลับได้ เพราะตนเชื่อมั่นในสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ลูกน้องต้องปลอดภัยมากที่สุด
ส่วนที่นักการเมืองให้เลือกจุดยืนสองฝ่าย คือ ฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเป็นเรื่องธรรมดา และปล่อยให้เป็นเรื่องของการเมือง และที่นักการเมืองหาเสียงในยุทธศาสตร์ที่มีลักษณะ ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นั้น นายรัฐมนตรี กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ไม่สนใจเรื่องนี้”.-สำนักข่าวไทย