กรุงเทพฯ 7 ก.พ. – สภาผู้ส่งออกทางเรือฯ กังวลการแข็งค่าเงินบาทต่อเนื่องกระทบยอดส่งออกปี 62 แน่นอน วอนหน่วยงานกำกับดูแลดูอย่าให้บาทแข็งมากนัก มั่นใจปีนี้ส่งออกโตแค่ร้อยละ 5 ชี้หลายปัจจัยต้องตามดูใกล้ชิด
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย( สรท.) เปิดเผยว่า จากปัญหาการแข็งค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องนับตั้งช่วงปลายปี 2561 จนถึงขณะนี้ เป็นสิ่งที่ภาคการส่งออกมีความกังวลใจอย่างมาก และยังมีท่าทียังจะแข็งค่าต่อเนื่องอีกซึ่งอยู่ขณะนี้ 31.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น จึงอยากให้หน่วยงานที่กำกับดูแลจะต้องเข้ามาดูและหาหนทางไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากจนเกินไปจนทำให้ผู้ส่งออกแข่งขันไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารของไทยจะแข่งขันได้ลำบากมาก และกลุ่มปัญหาอิเล็กทรอนิกที่ยังติดลบอยู่ โดยภาคเอกชนจะหารือกับภาครัฐเพื่อหาหนทางแก้ไขกลุ่มนี้ไม่ให้ปรับลดลงไปมาก
ทั้งนี้ แม้ว่า ภาพรวมการส่งออกของไทยตลอดปีที่ผ่านมา ที่โตเพียงแค่ร้อยละ 6.7 คิดเป็นมูลค่า 252,486 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตามที่คาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ที่คาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้เกือบร้อยละ 8 ซึ่งตัวเลขส่งออกที่โตร้อยละ 6.7 ก็ถือว่าไม่เลวร้ายและถือว่ารับได้แม้ว่าจะไม่เติบโตตามที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ก็ตาม เนื่องจากปัจจัยหลักจะอยู่ที่ปัญหาความกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ตอบโต้กันไปมาของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้การส่งออกเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงปัญหาความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ดังนั้น เป้าหมายการส่งออกในปี 2562 นี้ ทาง สรท.มองว่าตัวเลขการส่งออกไทยน่าจะขยายตัวเป็นบวกอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยมีสมมติฐานค่าเงินบาท 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวดีอยู่แต่อยู่ภายใต้ความกังวลใจที่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ทางการของสงครามการค้าสหรัฐและจีนจะออกมาอย่างไร ปัญหาความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาความไม่ชัดเจนในกลุ่มยูโรโซน ปัญหาราคาน้ำมัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วันที่ 4 มีนาคมนี้ สรท. จะเข้าพบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการดูแลค่าเงินบาท โดย สรท. อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้แข็งค่าสูงกว่าคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญ ผู้ประกอบการส่งออก โดยเฉพาะ SMEs ต้องบริหารจัดการค่าเงินไม่ให้มีความผันผวนขึ้นลงมากเกินไป จนกระทบถึงต้นทุนการส่งออกโดยการพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินที่ ธปท.ได้ออกมาตรการหรือเครื่องมือประกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Fx-Forward / Option, FCD, Local Currency เป็นต้น พร้อมมองว่า ธปท. ควรดูแลเรื่องต้นทุนของ Fx-Forward ให้มีการกำหนดราคากลาง รวมถึงการเจรจาเพิ่มประเทศที่สามารถใช้ Local Currency ได้
นอกจากนี้ รัฐบาลและผู้ประกอบการควรจัดส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมในการขยายตลาดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดแรงกระทบจากความผันผวนจากสถานการณ์ทางการค้าระหว่างประเทศ และพัฒนาสินค้าเพื่อรุกตลาดอาเซียนและจีนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในสินค้าของไทยและเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตของ GDP สูงกว่าภูมิภาคอื่น โดยจัดทำแผนการตลาดรายสินค้าในแต่ละประเทศ
ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่ที่ 31 – 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ยาวนานโอกาสที่ตัวเลขการส่งออกตลอดทั้งปีต่ำกว่าร้อยละ 5 รวมทั้งสงครามการค้าสหรัฐและจีนไม่มีทางออกที่ดีโอกาสที่ตัวเลขการส่งออกอาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 0 เพราะหากจะให้การส่งออกขยายตัวได้ตามคาดการณ์ยอดส่งออกรายเดือนต้องไม่ต่ำกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่หากต่ำกว่า 20,000-19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐโอกาสตัวเลขการส่งออกของไทยจะต่ำกว่าเป้าหมายก็เป็นไปได้เช่นกัน . – สำนักข่าวไทย