กทม. 21 ธ.ค. – ส่งออก ไทย เดือน พ.ย.ผิดคาด กลับมาติดลบ หลายสำนักปรับลดตัวเลขส่งออกไทยปีหน้า หวั่นสงครามการค้าโลกและราคาน้ำมันกดดัน
ส่งออกไทย เดือน พ.ย.ติดลบ เหตุหวั่นสงครามการค้าโลกและราคาน้ำมันน้ำมันดิบที่ลดต่ำลงกดดัน ในขณะที่โครงการประมูลรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ก็ยังไม่แน่ ซีพีจะชนะประมูลหรือไม่
วันนี้ กระทรวงพาณิชย์แถลงข่าวตัวเลขส่งออก เรียกได้ว่า พลิกความคาดหมายเพราะปกติแล้ว ช่วงไตรมาส 4 จะเป็นการส่งออกที่บวก เนื่องจากเป็นช่วงเฉลิมฉลองคริสต์มาส และปีใหม่ก็จะมีการสั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเลขที่แถลงออกมา คือ การส่งออกเดือน พ.ย.ติดลบร้อยละ 0.95 จากที่เดือนตุลาคม ขยายตัวร้อยละ 8.7 ในขณะที่การนำเข้าเดือนนี้ โตกว่าร้อยละ 14 เดือน พ.ย. จึงขาดดุลกว่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากรวมตั้งแต่ต้นปีถึง พ.ย.แล้ว การส่งออกยังเป็นบวก ที่ร้อยละ 7.29
โดยการส่งออกที่ลดลง ทางกระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า เป็นผลกระทบทางอ้อมเริ่มขยายวงกว้างขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตวัตถุดิบที่จะต้องติดตามใกล้ชิด แม้ขณะนี้ผลจากมาตรการทางตรงของสหรัฐที่กระทบต่อการส่งออกของไทยทั้งโซล่าเซลล์และเครื่องซักผ้าเมื่อหักลบกับสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์จากที่ส่งออกไปสหรัฐทดแทนประเทศจีน ทำให้เดือนพฤศจิกายนการส่งออกไปสหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 11.9 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน
ส่วนภาพรวมการส่งออกปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมั่นใจจะขยายตัวใกล้เคียงร้อยละ 8 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ที่สำคัญคือต้องดูเดือนการส่งออกเดือนนี้ว่าจะเป็นเท่าใดโดยหากส่งออกได้ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะทำให้ทั้งปีโตร้อยละ 8 แต่ะหากส่งออกได้เพียง 21,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะขยายตัวร้อยละ 7.5 เท่านั้น
สำนักข่าวไทยได้รวบรวมจากหลายสำนัก ตามกราฟฟิกจะเห็นได้ว่า ปรับลดคาดการณ์ลงทั้งนั้น โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. คาดว่าจะส่งออกโตแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น ส่วนมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดโตร้อยละ 6.1-6.5 ในขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน หรือ กกร.คาดว่า จะโตระดับร้อยละ 5-7 ซึ่งการส่งออกมีผลสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจไทย หากส่งออกลดลงก็กระทบต่อจีดีพีหลายฝ่ายยังคาดว่าจีดีพีไทยปีหน้าอาจจะขยายตัวร้อยละ 4
สาเหตุที่ปรับลดคาดการณ์ส่งออกเพราะหลายฝ่ายหวั่นสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันที่หลายฝ่ายคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้กำลังซื้อเศราฐีน้ำมันลดลง โดยราคาวานนี้ปิดระดับ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ราคาตลาดเวสต์เท็กซัส ปิดไปที่ 45.88 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเกิดจากความกังวลทางกำลังผลิตล้นตลาดและแนวโน้มการใช้จะอ่อนแอลง จากสงครามการค้า ที่เริ่มเห็นว่ากระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแล้ว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงเพิ่มอีกในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งหากสงครามการค้าทวีความเข้มข้นขึ้นอีกก็กระทบเพิ่ม ซึ่งเดิมสหรัฐประกาศว่าจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับสินค้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาจเพิ่มเป็น 25% ในเดือนมีนาคม 2562 จากเดิม 10%
ตลาดน้ำมันเครื่องส่งออกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน นายบุรณิน รัตนสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีโออาร์ เปิดเผยว่าสงครามการค้าจีน สหรัฐ ทำให้ยอดส่งออกน้ำมันเครื่องของบริษัทไม่เติบโตเป็นปีแรกตั้งแต่เริ่มส่งออก โดยส่งออกได้ 25 ล้านลิตรเท่านั้น ปีหน้าก็เร่งทำตลาดหลายรูปแบบทั้งในจีน อาเซียน และแอฟริกา คาดหวังจะส่งออกเพิ่มเป็น 30-40 ล้านลิตร
ส่วนยอดขายในประเทศก็ไม่เติบโตเช่นกันโดยคาดหวังการลงทุนภาครัฐในปีหน้าที่จะเห็นหลายโครงการรวมทั้งการเลือกตั้งที่ขณะนี้หลายฝ่ายคาดว่าจะเลือกตั้ง 24 ก.พ.62 จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อน้ำมันเครื่องก็คาดน้ำมันเครื่องของบริษัทในประเทศจะเพิ่มจาก 150 ล้านลิตรเป็น 160 ล้านลิตร
ในขณะที่ โครงการการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดอนเมือง, สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม.ทางกลุ่มร่วมทุนซีพีจะเสนอวงเงินที่ชนะกลุ่มร่วมทุนบีทีเอส ด้วยการเสนอวงเงินอุดหนุนจากภาครัฐต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีเงื่อนไขพิเศษที่อาจทำให้ต้นทุนไม่ต่ำจริง เช่น การการันตีผลตอบแทนร้อยละ 6 โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเรียกกลุ่มร่วมทุนซีพีมาชี้แจงอีกรอบ 21 ธันวาคมนี้ หากชัดเจนก็อาจจะชนะประมูล หากไม่ชัดเจนก็อาจจะเป็นกลุ่มที่ 2 ได้แทน โดยโครงการนี้มีมูลค่าลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท .- สำนักข่าวไทย