กรุงเทพฯ 5 พ.ย. – มีข่าวดี ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศอาจลดลงสัปดาห์นี้ ส่วนกรณีเผาปาล์มดิบผลิตไฟฟ้าช่วยเกษตรกรจะไม่มีผลกระทบค่าไฟฟ้า ส่วนการลดราคาน้ำมันวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 3 บาท/ลิตร เริ่ม 15 ธ.ค.นี้
วันนี้ (5 พ.ย.) เป็นวันขีดเส้นตายที่ทุกหน่วยงานภาครัฐปรับการให้บริการประชาชนเมื่อไปติดต่องาน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านแต่อย่างใด โดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้พาเยี่ยมชมการติดต่อบริการที่กรมธุรกิจพลังงาน นับว่าเป็นการปรับตัวรับยุค 4.0 ที่บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดสามารถต่อเชื่อมฐานข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยได้ทั้งหมด
รมว.พลังงาน ยังกล่าวด้วยว่า หากราคาน้ำมันตลาดโลกสัปดาห์นี้ปรับลดลง ก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันขายปลีกในไทยทั้งดีเซลและกลุ่มเบนซินจะลดลงได้ หลังจากสัปดาห์ที่แล้วราคาในไทยไม่ลดลง แม้ราคาตลาดโลกสัปดาห์ที่ผ่านมาจะลงถึง 4-5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็ตาม เป็นเพราะมีการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากน้ำมันทุกประเภท 60 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้กองทุนมีเสถียรภาพในการดูแลราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยสถานะกองทุนน้ำมันปัจจุบันกว่า 20,000 ล้านบาทนับว่าเป็นวงเงินที่เหมาะสมสำหรับการดูแลความผันผวนของราคาน้ำมันไปจนถึงต้นปี 2562
“ช่วงที่ผ่านมาราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศลดลงไปมากแล้ว 5 ครั้ง เป็นเงิน 2.10 บาทต่อลิตร ล่าสุดจึงได้เรียกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสะสมไว้รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยยังตรึงราคาภาคครัวเรือนที่ตรึงไว้ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมต่อไป” นายศิริ กล่าว
รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในขณะนี้กำลังหารือเรื่องของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน และจะหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (8 พ.ย.) นี้ โดยส่วนหนึ่ง คือ โครงการช่วยเหลือรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะให้ใช้แก๊สโซฮอล์ 91 และแก๊สโซฮอล์ 95 ราคาต่ำกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งเริ่มจำหน่ายได้วันที่ 15 ธันวาคมนี้โดยจะเปิดให้ผู้ค้าน้ำมันสมัครใจเข้าโครงการที่คาดว่าจะมี บมจ.ปตท.นำร่องก่อน ขณะที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะจะต้องเป็นผู้มีรายได้น้อยถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 40,000 ราย แบ่งเป็นกทม. 8,500 ราย ที่เหลือเป็นต่างจังหวัดถึง 31,500 ราย
นายศิริ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าบางปะกงและโรงไฟฟ้าราชบุรีกำลังปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงร่วมระหว่างก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปาล์ดิบ (ซีพีโอ ) 160,000 ตัน โดยจะดูดซับภายใน 3 เดือน ต้นทุนค่าไฟฟ้าจะขยับขึ้น 20-30 สตางค์ต่อหน่วย หรือรวม 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ให้กระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแงประเทศไทย (กฟผ.) จะรับภาระต้นทุนค่าสายส่งประมาณ 500 ล้านบาท และอีก 500 ล้านบาท จะใช้จากงบกลางของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานยังเร่งการใช้ส่วนผสมในน้ำมันบี 7 เป็นร้อยละ 6.9 จะดูดซับได้เพิ่ม 80,000 ตันต่อปี และเร่งประชาสัมพันธ์การใช้บี 20 หากเป็นไปตามเป้าหมาย 15 ล้านลิตรต่อวัน จะดูดซับซีพีโอได้อีก 600,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลใช้ซีพีโอ 1.3 ล้านตันต่อปี จากกำลังผลิตรวมประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี และสตอกปัจจุบันอยู่ในระดับ 370,000 ตันต่อปี จากระดับสตอกที่เหมาะสม 250,000-350,000 ตันต่อปี
“แผนบี 20 นั้นยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาแต่ทั้ง 3 แผนที่เราวางไว้ทั้งการผลิตไฟ การเพิ่มสัดส่วนผสมในดีเซลก็จะทำให้มีการดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกินได้เกือบหมด ภาพรวมเมื่อสตอกปาล์มลดลงก็เชื่อว่าจะทำให้เกิดการยกระดับราคาผลปาล์มทะลายที่ขณะนี้เฉลี่ย 3 บาทต่อ กก.เป็น 3.50 บาทต่อ กก.ได้” นายศิริกล่าว
สำหรับความคืบหน้าการประมูลขอสิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยแหล่งเอราวัณและบงกชที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานปี 2565-2566 ว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการประชุมติดตามความคืบหน้า คาดว่าสัปดาห์นี้คณะอนุกรรมพิจารณาการให้สิทธิ์สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เตรียมเปิดซองเอกสารข้อเสนอซองที่ 4 ที่กำหนดข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ และสัดส่วนการจ้างพนักงานไทย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 2 สัปดาห์ หรือเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อส่งผลเสนอคณะกรรมการปิโตรเลียม ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีคัดเลือกผู้ชนะการประมูลภายในเดือนธันวาคมนี้ ต่อไปตามแผนที่วางไว้.-สำนักข่าวไทย