รัฐวิสาหกิจลงทุน 8 เดือน สูงถึงร้อยละ 60

ก.คลัง 17 ต.ค. – สคร.เผยรัฐวิสาหกิจลงทุน 8 เดือน ปี 61 กว่า 283,000 ล้านบาท สูงถึงร้อยละ 60 ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง


นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร.กำกับดูแลโดยตรงตั้งแต่เดือนมกราคม 2561-สิงหาคม 2561 มีจำนวน 283,321 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับผลเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมในช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยการลงทุนที่เติบโตของรัฐวิสาหกิจเป็นผลมาจากการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ 1 และโครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 12 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมถึงการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อไปลงทุนต่ออัตราการเติบโตการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2561 เปรียบเทียบปี 2560

นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจทั้ง 45 แห่ง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560-สิงหาคม 2561 มีจำนวน 301,597 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 89 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม โดยรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560-สิงหาคม 2561 จำนวน 86,819 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมและรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561-สิงหาคม 2561 จำนวน 214,778 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม


นายประภาศ กล่าวว่า การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและยกระดับขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อไป ดังนั้น สคร.ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจจึงได้ดำเนินการกำกับและติดตามการลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างไกล้ชิด โดยถือว่าการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ ยังสร้างกระบวนการและช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลไปยังผู้รับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจ คือ ประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจ กรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง ในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ผ่าน Line Active Shareholder/Partnership ด้วย เพื่อให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการลงทุนตามแผนการลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณซึ่งต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุนภายในสิ้นปีงบประมาณ รวมถึงเร่งรัดให้สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนส่วนที่เหลือให้ครบถ้วนภายในเดือนธันวาคม 2561 สำหรับรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินจะมีการกำกับและติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามแผนการลงทุนต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง