หนองคาย 12 ต.ค.- ศุลกากรหนองคายลำเลียงเงิน 38 ล้านบาท ฝากธนาคารรอดำเนินคดีสิ้นสุด หลังตรวจยึดของกลางซุกรถเตรียมข้ามแดน พร้อมเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาก่อนยึดเข้าคลัง ส่วนการสอบ เส้นทางการเงินร่วม ป.ป.ส. ไม่พบเกี่ยวยาเสพติด
นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจยึดธนบัตรไทยจำนวน 38 ล้านบาท วานนี้ (11 ต.ค.) ขณะที่ 3 ชาว สปป.ลาว (ชาย 1 หญิง 2) เตรียมนำออกนอกประเทศว่า เช้าวันนี้ (12 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ศุลกากรหนองคายนำเงิน 38 ล้านบาท ไปฝากเก็บไว้ชั่วคราวที่ธนาคารกรุงไทย สาขาหนองคาย ระหว่างที่รอการดำเนินการให้คดีสิ้นสุด โดยเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมกล่องบรรจุเงินนำส่งอย่างแน่นหนา ส่วนการสอบปากคำผู้ทำผิดทั้ง 3 ทราบว่า ชายคนขับรถเป็นเจ้าของเงิน 4 ล้านบาท, หญิงอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าของเงิน 4 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 30 ล้านบาทเป็นของหญิงสูงอายุ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มาร่วมสอบสวน หาเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ โดยข้อมูลที่ได้ล่าสุดยังไม่มีความเชื่อมโยงกับยาเสพติด แต่อาจเกี่ยวกับการค้าเงินส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ คือ ผู้ต้องหารับซื้อเงินสกุลดอลล่าร์ในอัตราแลกเปลี่ยนถูกกว่าสถาบันการเงิน แล้วนำมาแลกเปลี่ยนในประเทศไทย จากนั้นก็นำกลับไปยัง สปป.ลาว ด้วยการซุกซ่อนไว้ในรถ เพราะต้องการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีรายได้ให้รัฐบาลลาวร้อยละ 30 ขณะนี้ได้ให้ประกันตัวทั้ง 3 คนแล้วตามอำนาจของ พ.ร.บ.ศุลกากรที่สามารถให้ประกันตัวได้ และทั้งสามได้เดินทางกลับประเทศลาว เมื่อเจ้าหน้าที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมต้องพร้อมเดินทางมาให้ปากคำทุกเมื่อ หากไม่มาก็จะถือว่าหลบหนีการประกันตัว ส่วนรถยนต์ที่ใช้ซ่อนเงินถูกยึดไว้ก่อน เบื้องต้นทราบว่าเป็นชื่อของอีกคนหนึ่ง ต้องนำเอกสารมายืนยันกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง
นายนิมิตร กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป เมื่อผู้ต้องหายินยอมระงับคดีในชั้นศุลกากร ก็จะนำเรื่องเสนอเข้าคณะกรรมการของกระทรวงการคลังพิจารณาว่าจะยุติเรื่องตามที่ศุลกากรหนองคายเสนอหรือไม่ หากพิจารณาเห็นชอบก็จะปรับเงินผู้ต้องหาคนละ 20,000 บาท คืนเงินให้ตามสิทธิ์คนละ 2 ล้านบาท ที่เหลือ 32 ล้านบาท ยึดเข้าคลัง ตามระเบียบของศุลกากรถ้ามีการจับเงินต้องแจ้งข้อมูลการจับกุมที่สามารถสอบสวนได้ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ทราบ เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ในกรณีนี้ได้แจ้งให้ ป.ป.ง.ทราบแล้ว.-สำนักข่าวไทย