ผลสอบ ก.แรงงาน ไม่พบเจ้าหน้าที่เอี่ยวทุจริตเงินคนพิการ

ดินแดง 5 ต.ค.-รมว.แรงงาน เผยไม่พบเจ้าหน้าที่กระทรวงเอี่ยวทุจริตเงินคนพิการ พบเพียงผู้ประกอบการไม่ทำตามสัญญา วงเงินเสียหายประมาณการ 14 ล้านไม่ไช่ 1,500 ล้านบาท


หลังจากที่เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา นายปรีดา ลิ้มนนทกุล ตัวแทนเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมสืบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อขอให้ดำเนินคดีต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเงินส่งเสริมผู้พิการ พร้อมยื่นหลักฐานชี้เจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมที่ชี้แจงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หลายกรณี มูลค่าความเสียหาย 1,500 ล้านบาททั่วประเทศต่อปี จากนั้นวันที่ 20 กันยายน กระทรวงแรงงาน ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของกระทรวงแรงงาน ให้สรุปผลภายใน 15 วัน หรือในวัที่ 5 ตุลาคม 2561 นั้น 


พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายวิวัฒน์ ตังหงส์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโกงเงินคนพิการ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้


พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีที่ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้ยื่นหนังสือต่อหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับคนพิการตามมาตรา 33 และ 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 โดยในวันนี้ครบ 15 วัน ของการตรวจสอบ ซึ่งผู้ร้องขอให้ตรวจสอบจำนวน 9 เรื่อง และจากการตรวจสอบข้อมูลทั่วไปและข้อมูลเฉพาะกรณีจากผู้ร้อง และกลุ่มผู้พิการที่มาให้ข้อเท็จจริงจำนวน 150 คน และการสอบข้อเท็จจริงสถานประกอบการ ผู้พิการในพื้นที่ ในชั้นนี้พบว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 33 จำนวน 2 เรื่อง ,มาตรา 35 จำนวน 6 เรื่อง และคาบเกี่ยวทั้ง 2 มาตราอีก 1 เรื่อง พบว่ามีข้อมูลบางส่วนเป็นไปตามที่ร้องเรียนมาแต่เป็นการปฏิบัติของผู้ประกอบ การที่ไม่ครบถ้วนตามสัญญาการยื่นขอให้สิทธิโดยยังไม่พบความบกพร่องและทุจริตของเจ้าหน้าที่ 

ด้านนายวิวัฒน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า ทั้ง9 เรื่องที่ร้องเรียนมาพบว่าเป็นเรื่องเก่าที่เคยร้องมาในช่วงปี2559-2560 จำนวน 6 เรื่องและเรื่องใหม่ในปี2561จำนวน 3 เรื่อง โดยเรื่องเก่า 6 เรื่อง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วทั้งหมด แบ่งเป็นเรื่องมาตรา 33 จำนวน 1 เรื่อง คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใน จ.ชลบุรี มีผู้พิการเกี่ยวข้อง 1 คน เหตุเกิดช่วงตุลาคม 2559 ตรวจสอบพบเป็นการจ้างงานไม่ครบเงื่อนไข และเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรา35 จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่1.อยู่ในกรุงเทพฯมีผู้พิการเกี่ยวข้อง 1ราย เป็นเรื่องที่ให้การอบรมไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินส่วนี่มีปัญหาจ่ายเข้ากองทุนแล้ว 2.เกิดใน ปี 2559 ที่จ.ชลบุรี  มีผู้พิการเกี่ยวข้อง 2 ราย เป็นเรื่องที่ให้การอบรมไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินส่วนี่มีปัญหาจ่ายเข้ากองทุนแล้ว 3.เกิดในกรุงเทพฯช่วง พ.ย.2559 ผู้พิการเกี่ยวข้อง 3 ราย ตรวจสอบแล้วเกิดบริษัทที่เกี่ยวข้องยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ,4.เกิดในโรงพยาบาลเอกชน ในกรุงเทพฯช่วงมี.ค.2560 ผู้พิการเกี่ยวข้อง 1 ราย คือไม่ได้อบรมครบตามเวลาที่กำหนด และเรื่องที่ 5.เกิดช่วง พ.ย.2559 ในกรุงเทพฯ ผู้พิการเกี่ยวข้อง 3 ราย ตรวจสอบแล้วบริษัทที่เกี่ยวข้องยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ทั้งหมดกระทรวงแรงงานได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับอีก 3 กรณีเป็นเรื่องที่ได้รับข้อมูลมาในปี 2561 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 33 จำนวน 1 เรื่อง เกี่ยวกับการจ้างงาน คนพิการจำนวน 70 คนในพื้นที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงแรงงานได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยการสุ่มสอบถามข้อมูลพูดคุยกับผู้พิการในบริษัทพบว่ามีการจ้างงานทั้ง 70 คนจริงและได้มีการโอนเงินเดือนให้ตามข้อตกลงในสัญญา  รวมทั้งยังมีการส่งเบี้ยประกันสังคมให้ครบทุกคนด้วย

,กรณีที่ 2เกี่ยวกับมาตรา 33 และ 35 เหตุเกิดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่ามีผู้พิการที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวข้องจำนวน 160 คน จากการตรวจสอบพบเป็นบริษัทแห่งหนึ่งมีคนงานรวม 1280 คนตามกฏหมายต้องจ้างคนพิการเข้าทำงานประมาณ 13 คนและทางบริษัทได้มีการว่าจ้างคนพิการให้ทำงาน 10 คน แต่ทางบริษัทก็ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 35 ด้วยการจัดพื้นที่ให้กับผู้พิการที่เหลือทำการค้าขายก็ถือว่าได้ทำถูกต้องตามข้อกำหนด และกรณีที่ 3 ในจังหวัดสมุทรสาครมีผู้พิการเดือดร้อนเกี่ยวข้องจำนวน 31 คน ตรวจสอบพบว่าเป็นเรื่องของการอบรมไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้จึงสั่งการให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ส่งหนังสือแจ้งไปยังกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตตนพิการ พ.ศ.2550 พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน

นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากตัวแทนคนพิการยังไม่ครอบคลุมหรือว่าลงลึกไปถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริตเงิน เพราะการร้องเรียนไม่มีผู้เสียหายออกมาร้องโดยตรง เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของตัวแทนคนพิการเท่านั้น รวมทั้งมูลค่าความเสียหายที่ได้ระบุไว้1,500 ล้านบาท อาจเกิดจากความเข้าใจผิด นำยอดรวมผู้พิการที่ต้องได้รับการจ้างงานประมาณ 14,600 คน มาคูณกับอัตราค่าจ้าง 109,500 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งเมื่อตรวจสอบจำนวนผู้ที่ มาร้องเรียนที่อาจได้รับความเดือดร้อนประมาณ 150 คน มูลค่าจริงๆประมาณการอยู่ที่ 14 ล้านบาทเท่านั้น และจากการตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตลอด 15วันพบว่าความเสียหายก็ไม่น่าจะถึง 14 ล้านบาท ในชั้นนี้ถือว่าหมดหน้าที่ของคณะกรรมการในการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วซึ่งหากหน่วยงานใดจะมาขอข้อมูลที่ทางกระทรวงได้ทำสรุปไว้ก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีสมาคมหรือชมรมคนพิการในจังหวัดต่างๆ เข้าไปเกี่ยวข้องทุจริต  วันนี้ส่งรายงาน  ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเข้าไปตรวจสอบ แต่ยืนยันแม้จะหมดหน้าที่ แต่ถ้าหากผู้พิการที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตจริงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มีข้อมูลก็สามารถนำมาส่งให้ที่กระทรวงแรงงานได้หรือหากไม่สะดวกก็สามารถประสานมายังกระทรวงฯ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ จะลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลในที่อยู่ตามที่ระบุไว้ รวมทั้งจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการโดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานระบุว่าปัจจุบันผู้พิการในประเทศไทยมี 1.9 ล้านคน มีสถานประกอบการที่ต้องจ้างแรงงานผู้พิการ 64,570 คน  โดยมาตรา 33 เป็นการจ้างงานโดยตรงระหว่างผู้พิการกับผู้ประกอบการ 36,315 คน  กระทรวงแรงงานมีส่วนช่วยเหลือ โดยการขึ้นทะเบียนคนพิการที่ประสงค์จะทำงาน และประสานส่งต่อเพื่อให้นายจ้างคัดเลือกและบรรจุงาน (ในปี 2561 บรรจุงานได้ จำนวน 1,565 คน) มาตรา 34 มีการส่งเงินเข้ากองทุน จากผู้ประกอบการประมาณ 1,200 แห่ง เป็นการทดแทนการจ้างผู้พิการ 14,623 คน รวมเป็นเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท/ปี (ปี 60) ซึ่งคิดอัตรา 1 คนเท่ากับ109,500 บาท/คน/ปี ส่วนมาตรา35 เป็นกรณีสถานประกอบการให้สิทธิผู้พิการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพ 7 ประเภท มีผู้พิการใช้สิทธิจำนวน 12,499 คน .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ชาวบ้าน-พระ เดือดร้อน

สุโขทัย 28 ส.ค. – หลายพื้นที่เมืองสุโขทัย จมอยู่ใต้น้ำและขยายวงกว้าง แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ด้านหลังวัดปากแคว พระและชาวบ้าน ช่วยกันขนสิ่งของหนีน้ำ ภาพมุมสูง เผยให้เห็นสภาพน้ำท่วมสูงภายในวัดปากแคว และบริเวณโดยรอบ ทหารนำกำลังพล 22 นาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือ พระวัดปากแคว ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 4 ต.ปากแคว 4 ชุมชน ในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ถูกน้ำท่วมขยายวงกว้าง รถยนต์จมน้ำหลายคัน ด้านหลังวัดปากแคว อำเภอเมือง แม่น้ำยมผนังกั้นน้ำล้นตลิ่ง มวลน้ำมหาศาล ทะลักเข้าท่วมเต็มพื้นที่ ระดับน้ำสูงรอบวัดเกือบ 2 เมตร ทะลักเข้าท่วม ไหลข้ามถนนจรดวิถีถ่อง ระยะทางกว่า 500 เมตร ต้องปิดกั้นถนนห้ามสัญจรไปมา พระครูปลัดสุวัฒนสาธุคุณ (พระอาจารย์นาค) เจ้าคณะตำบลบ้านกล้วย เจ้าอาวาสวัดพายชุมพล หลังทราบข่าว ระดับน้ำท่วม ในวัดปากแคว รีบนำอาหารกล่องพร้อมทั้งถุงยังชีพ เข้าไปถวายพระสงฆ์ 18 รูป ที่จำพรรษาอยู่ในวัดปากแคว เร่งหาผู้สูญหายที่แม่ฮ่องสอน […]

เร่งค้นหาอีก 3 ผู้สูญหายดินถล่มปางอุ๋ง ท่ามกลางความหวังของญาติ

28 ส.ค. – เข้าสู่วันที่ 2 ของเหตุดินโคลนถล่มบ้านปางอุ๋ง หมู่บ้านกลางหุบเขา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายอีก 3 ราย โดยระดมกำลังนับร้อยนายพร้อมเครื่องจักรเดินหน้าค้นหา ท่ามกลางบรรดาญาติที่เฝ้ารอด้วยความหวัง ล่าสุดวันนี้พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 2 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 6 ราย และยังสูญหายอีก 3 คน ขณะที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียบ้านที่อยู่มาหลายสิบปีและยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างไร.-สำนักข่าวไทย

ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. โผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด

กทม. 28 ส.ค.-ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. หลัง “ภูมิธรรม” ถกลับ ผบ.ตร. นานหลายชั่วโมง เหตุมีหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก ทำโผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 7/2568 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 มีระเบียบวาระการประชุม 5 วาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ /วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 6/2568 /วาระที่ 3 เรื่องที่เสนอเพื่อทราบ เรื่องที่ 1 รายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร.สืบสวนสอบสวน ที่ ก.ตร. มอบหมายให้ทำการแทน […]

กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา เขต อ.อรัญประเทศ

สระแก้ว 23 ส.ค.-กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา จุดแรกบริเวณหลักเขตที่ 50-51 เขต อ.อรัญประเทศ ระยะทาง 10 กม. เชื่อเริ่มดำเนินการได้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ พลเอกมนัส จันดี เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยพร้อมคณะลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวชายแดนตั้งแต่หลักเขตที่สี่ 48 ต่อเนื่องถึง 51 บริเวณพื้นที่บ้านป่าไร่ ถึงบ้านท่าข้าม ในเขต อ.อรัญประเทศ โดยการสำรวจดังกล่าวเพื่อเตรียมสร้างแนวกำแพงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นบริเวณหลักเกณฑ์ที่ห้า 50 และ 51 ซึ่งไทยและกัมพูชาเห็นตรงกันแล้วในเรื่องเขตแดน จะสร้างเป็นรั้วถาวรเป็นจุดแรกระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะบริเวณอื่นๆ ซึ่งยังมีการอ้างสิทธิ และยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนที่ชัดเจน เบื้องต้นก็จะสร้างเป็นแนวรั้วชั่วคราวด้วยวิธีการตัดถนนเลียบตลอดแนวชายแดนและวางรั้วลวดหนามหีบเพลงสามชั้น พร้อมติดกล้องวงจรปิดในจุดที่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกำลัง รวมไปถึงการลาดตระเวนตรวจตรา นอกจากนี้การปรับพื้นที่ให้โล่งก็จะทำให้การลักลอบผ่านแดนตามช่องทางธรรมชาติยากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสกัดกั้นทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปัญหาสแกมเมอร์ ได้ โดยการดำเนินการจะเริ่มต้นทันทีที่นำเรื่องเข้าขออนุมัติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติและไม่ได้ติดขัดในเรื่องงบประมาณแต่อย่างใด เชื่อว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นแนวรั้วกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มต้นเกิดขึ้นได้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการลงในรายละเอียดพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนตามแนวชายแดนที่บางส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของส่วนรวม พลตรี วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำรั้วตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของประชาชน […]