ผลสอบ ก.แรงงาน ไม่พบเจ้าหน้าที่เอี่ยวทุจริตเงินคนพิการ

ดินแดง 5 ต.ค.-รมว.แรงงาน เผยไม่พบเจ้าหน้าที่กระทรวงเอี่ยวทุจริตเงินคนพิการ พบเพียงผู้ประกอบการไม่ทำตามสัญญา วงเงินเสียหายประมาณการ 14 ล้านไม่ไช่ 1,500 ล้านบาท


หลังจากที่เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา นายปรีดา ลิ้มนนทกุล ตัวแทนเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อกรมสืบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพื่อขอให้ดำเนินคดีต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อเงินส่งเสริมผู้พิการ พร้อมยื่นหลักฐานชี้เจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมที่ชี้แจงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หลายกรณี มูลค่าความเสียหาย 1,500 ล้านบาททั่วประเทศต่อปี จากนั้นวันที่ 20 กันยายน กระทรวงแรงงาน ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนของกระทรวงแรงงาน ให้สรุปผลภายใน 15 วัน หรือในวัที่ 5 ตุลาคม 2561 นั้น 


พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และนายวิวัฒน์ ตังหงส์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโกงเงินคนพิการ ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้


พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีที่ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้ยื่นหนังสือต่อหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับคนพิการตามมาตรา 33 และ 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 โดยในวันนี้ครบ 15 วัน ของการตรวจสอบ ซึ่งผู้ร้องขอให้ตรวจสอบจำนวน 9 เรื่อง และจากการตรวจสอบข้อมูลทั่วไปและข้อมูลเฉพาะกรณีจากผู้ร้อง และกลุ่มผู้พิการที่มาให้ข้อเท็จจริงจำนวน 150 คน และการสอบข้อเท็จจริงสถานประกอบการ ผู้พิการในพื้นที่ ในชั้นนี้พบว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับมาตรา 33 จำนวน 2 เรื่อง ,มาตรา 35 จำนวน 6 เรื่อง และคาบเกี่ยวทั้ง 2 มาตราอีก 1 เรื่อง พบว่ามีข้อมูลบางส่วนเป็นไปตามที่ร้องเรียนมาแต่เป็นการปฏิบัติของผู้ประกอบ การที่ไม่ครบถ้วนตามสัญญาการยื่นขอให้สิทธิโดยยังไม่พบความบกพร่องและทุจริตของเจ้าหน้าที่ 

ด้านนายวิวัฒน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ กล่าวว่า ทั้ง9 เรื่องที่ร้องเรียนมาพบว่าเป็นเรื่องเก่าที่เคยร้องมาในช่วงปี2559-2560 จำนวน 6 เรื่องและเรื่องใหม่ในปี2561จำนวน 3 เรื่อง โดยเรื่องเก่า 6 เรื่อง เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแล้วทั้งหมด แบ่งเป็นเรื่องมาตรา 33 จำนวน 1 เรื่อง คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใน จ.ชลบุรี มีผู้พิการเกี่ยวข้อง 1 คน เหตุเกิดช่วงตุลาคม 2559 ตรวจสอบพบเป็นการจ้างงานไม่ครบเงื่อนไข และเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรา35 จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่1.อยู่ในกรุงเทพฯมีผู้พิการเกี่ยวข้อง 1ราย เป็นเรื่องที่ให้การอบรมไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินส่วนี่มีปัญหาจ่ายเข้ากองทุนแล้ว 2.เกิดใน ปี 2559 ที่จ.ชลบุรี  มีผู้พิการเกี่ยวข้อง 2 ราย เป็นเรื่องที่ให้การอบรมไม่ครบตามที่กำหนดไว้ ผู้เกี่ยวข้องได้นำเงินส่วนี่มีปัญหาจ่ายเข้ากองทุนแล้ว 3.เกิดในกรุงเทพฯช่วง พ.ย.2559 ผู้พิการเกี่ยวข้อง 3 ราย ตรวจสอบแล้วเกิดบริษัทที่เกี่ยวข้องยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ,4.เกิดในโรงพยาบาลเอกชน ในกรุงเทพฯช่วงมี.ค.2560 ผู้พิการเกี่ยวข้อง 1 ราย คือไม่ได้อบรมครบตามเวลาที่กำหนด และเรื่องที่ 5.เกิดช่วง พ.ย.2559 ในกรุงเทพฯ ผู้พิการเกี่ยวข้อง 3 ราย ตรวจสอบแล้วบริษัทที่เกี่ยวข้องยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ทั้งหมดกระทรวงแรงงานได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นายวิวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับอีก 3 กรณีเป็นเรื่องที่ได้รับข้อมูลมาในปี 2561 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 33 จำนวน 1 เรื่อง เกี่ยวกับการจ้างงาน คนพิการจำนวน 70 คนในพื้นที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงแรงงานได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยการสุ่มสอบถามข้อมูลพูดคุยกับผู้พิการในบริษัทพบว่ามีการจ้างงานทั้ง 70 คนจริงและได้มีการโอนเงินเดือนให้ตามข้อตกลงในสัญญา  รวมทั้งยังมีการส่งเบี้ยประกันสังคมให้ครบทุกคนด้วย

,กรณีที่ 2เกี่ยวกับมาตรา 33 และ 35 เหตุเกิดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระบุว่ามีผู้พิการที่ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวข้องจำนวน 160 คน จากการตรวจสอบพบเป็นบริษัทแห่งหนึ่งมีคนงานรวม 1280 คนตามกฏหมายต้องจ้างคนพิการเข้าทำงานประมาณ 13 คนและทางบริษัทได้มีการว่าจ้างคนพิการให้ทำงาน 10 คน แต่ทางบริษัทก็ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 35 ด้วยการจัดพื้นที่ให้กับผู้พิการที่เหลือทำการค้าขายก็ถือว่าได้ทำถูกต้องตามข้อกำหนด และกรณีที่ 3 ในจังหวัดสมุทรสาครมีผู้พิการเดือดร้อนเกี่ยวข้องจำนวน 31 คน ตรวจสอบพบว่าเป็นเรื่องของการอบรมไม่ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้จึงสั่งการให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ส่งหนังสือแจ้งไปยังกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ(พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตตนพิการ พ.ศ.2550 พร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมฯแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน

นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากตัวแทนคนพิการยังไม่ครอบคลุมหรือว่าลงลึกไปถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริตเงิน เพราะการร้องเรียนไม่มีผู้เสียหายออกมาร้องโดยตรง เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของตัวแทนคนพิการเท่านั้น รวมทั้งมูลค่าความเสียหายที่ได้ระบุไว้1,500 ล้านบาท อาจเกิดจากความเข้าใจผิด นำยอดรวมผู้พิการที่ต้องได้รับการจ้างงานประมาณ 14,600 คน มาคูณกับอัตราค่าจ้าง 109,500 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งเมื่อตรวจสอบจำนวนผู้ที่ มาร้องเรียนที่อาจได้รับความเดือดร้อนประมาณ 150 คน มูลค่าจริงๆประมาณการอยู่ที่ 14 ล้านบาทเท่านั้น และจากการตรวจสอบข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตลอด 15วันพบว่าความเสียหายก็ไม่น่าจะถึง 14 ล้านบาท ในชั้นนี้ถือว่าหมดหน้าที่ของคณะกรรมการในการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วซึ่งหากหน่วยงานใดจะมาขอข้อมูลที่ทางกระทรวงได้ทำสรุปไว้ก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ามีสมาคมหรือชมรมคนพิการในจังหวัดต่างๆ เข้าไปเกี่ยวข้องทุจริต  วันนี้ส่งรายงาน  ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเข้าไปตรวจสอบ แต่ยืนยันแม้จะหมดหน้าที่ แต่ถ้าหากผู้พิการที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตจริงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มีข้อมูลก็สามารถนำมาส่งให้ที่กระทรวงแรงงานได้หรือหากไม่สะดวกก็สามารถประสานมายังกระทรวงฯ เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ จะลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลในที่อยู่ตามที่ระบุไว้ รวมทั้งจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการโดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานระบุว่าปัจจุบันผู้พิการในประเทศไทยมี 1.9 ล้านคน มีสถานประกอบการที่ต้องจ้างแรงงานผู้พิการ 64,570 คน  โดยมาตรา 33 เป็นการจ้างงานโดยตรงระหว่างผู้พิการกับผู้ประกอบการ 36,315 คน  กระทรวงแรงงานมีส่วนช่วยเหลือ โดยการขึ้นทะเบียนคนพิการที่ประสงค์จะทำงาน และประสานส่งต่อเพื่อให้นายจ้างคัดเลือกและบรรจุงาน (ในปี 2561 บรรจุงานได้ จำนวน 1,565 คน) มาตรา 34 มีการส่งเงินเข้ากองทุน จากผู้ประกอบการประมาณ 1,200 แห่ง เป็นการทดแทนการจ้างผู้พิการ 14,623 คน รวมเป็นเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท/ปี (ปี 60) ซึ่งคิดอัตรา 1 คนเท่ากับ109,500 บาท/คน/ปี ส่วนมาตรา35 เป็นกรณีสถานประกอบการให้สิทธิผู้พิการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพ 7 ประเภท มีผู้พิการใช้สิทธิจำนวน 12,499 คน .-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ

มาเลเซีย 7 ส.ค.-เสร็จสิ้นแล้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ นับจากการประชุม […]

แม่ทัพภาค 2 เชื่อผลประชุม GBC เป็นทิศทางที่ดี

7 ส.ค. – มทภ.2 ขอรอผลอย่างเป็นทางการหลังประชุม GBC เชื่อจะไปในทิศทางที่ดี เมิน “ฮุนเซน” ขอไทยงดใช้ F-16 ร้องนานาชาติ หยุดขายเครื่องบินรบให้ไทย ส่วนกรณีสายลับเขมร รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนโลเคเตอร์ เครื่องจับพิกัดตัวโดรน รวม 30 เครื่อง มูลกว่า 8 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อนำไปมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้จะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พลโท บุญสิน บอกว่ารอการชี้แจงอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะดีขึ้น ย้ำว่า ในข้อเสนอ 8 เรื่อง 6 ประเด็น ตนให้ความสำคัญ ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้น คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก เน้นย้ำให้ทหารหน้าแนวตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และตรึงกำลังไว้ตลอด เรื่องแผ่นดินไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้ […]

พล.อ.ณัฐพล เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย

มาเลเซีย 7 ส.ค.-พล.อ.ณัฐพล รมช.กห. เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย ก่อนถก GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ บ่ายนี้ เมื่อเช้าวันนี้ (7 ส.ค. 68) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมคำนับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้และเป็นเจ้าภาพของสถานที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสแรกที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้พบกันในระดับรัฐมนตรีก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม GBC สมัยวิสามัญ ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ Deputy Minister of Defence pays courtesy call on Malaysian Prime Minister before Extraordinary Session of Thailand […]

“บิ๊กเต่า” ลุยค้น 3 จุด จับอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร – อดีตเจ้าอาวาส

กทม. 7 ส.ค.-“บิ๊กเต่า” ลุยค้น 3 จุด บุกจับอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร – อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท ก๊วนกิ๊กเก่า “สีกากอล์ฟ” หลังพบทุจริตยักยอกเงินวัด เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 7 ส.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปาตแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาฯ ป.ป.ท. นำกำลังตำรวจ บก.ปปป. และ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เปิดปฏิบัติการ “กอล์ฟทีม EP.1” บุกค้นเป้าหมาย 3 จุด ใน จ.สุราษฎร์ธานี จ.พิจิตร และ จ.สมุทรสงคราม เพื่อจับกุมอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ และ คนใกล้ชิด ที่เคยพัวพันสัมพันธ์ฉาวสีกากอล์ฟ หลังพบกระทำผิดทุจริตยักยอกเงินวัดมาใช้ดูแลสีกา เป้าหมายจุดแรกที่เข้าตรวจค้นเป็นสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของนายทิวากร ดีไพร หรือ […]