สธ.18ก.ย.-ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสง่างามเน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตั้งแต่แรกเกิดจนวาระสุดท้ายชีวิต พร้อมจัดบริการสุขภาพพื้นฐานที่จำเป็น เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุม “Attaining Universal Health Coverage (UHC) focusing on Healthy and Active Ageing” ในระหว่างการประชุม G7 ณ เมืองโคเบะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในฐานะประเทศที่มีความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ และมีนโยบายชัดเจนในการเตรียมการสู่สังคมสูงอายุ ทั้งด้านมุมมองเชิงนโยบายและประสบการณ์ในการเตรียมการก้าวสู่สังคมสูงอายุ ร่วมกับผู้นำด้านสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก อาทิ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ผอ.องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประเทศกลุ่ม G7 สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นพ.ปิยะสกลกล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากสังคมผู้สูงอายุสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งมีระยะ เวลาสั้นที่สุดในการเปลี่ยนผ่านคือ 16 ปี รัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการเตรียมการเรื่องนี้เป็นลำดับต้น มีนโยบายและหลักแนวคิดสำคัญ คือ “ผู้สูงวัยมีคุณค่า สังคมไทยร่วมดูแล มีสุขจนวาระสุดท้าย” เตรียมพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสง่างาม โดยทุกภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมดำเนินงาน รวมถึงภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและภาคประชาชน มีการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน ตั้งแต่ด้านนโยบายเศรษฐกิจมหัพภาคที่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ การสนับสนุนเบี้ยยังชีพ การยืดระยะเวลาเกษียณอายุ การลดค่าบริการรถโดยสารสาธารณะแก่ผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถมีชีวิตที่กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวาในสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยความสะดวก
ในส่วน สธ.ซึ่งเป็นองค์กรหลักของประเทศในการดูแลสุขภาพประชาชน มีนโยบายส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตั้งแต่แรกเกิด จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ใช้ระบบหลักประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยจัดให้มีบริการสุขภาพพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การตรวจคัดกรองโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ผ่าตัดต้อกระจก สนับสนุนอุปกรณ์ช่วยฟัง ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกและข้อเข่า และบริการทันตกรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดระบบดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงในระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีความก้าวหน้าในหลายด้าน โดยทำความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาศัยชุมชนเป็นฐาน มีผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนมีกองทุนท้องถิ่นซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมสนับสนุนงบประมาณ ใช้สำหรับดูแลสุขภาพในชุมชน .-สำนักข่าวไทย