กทม.5 ส.ค.–ผลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่เสนอให้หักหนี้อัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนของผู้กู้เงิน กยศ.ที่ไม่ชำระหนี้ รองลงมาหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง และจับปรับดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด พร้อมเสนอปรับระบบการให้กู้ยืมโดยคัดกรองอย่างละเอียดก่อนว่ามีฐานะยากจนจริง และกำหนดผู้ค้ำประกันเป็นบิดา มารดา หรือญาติของผู้กู้ยืมเงิน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง หนี้ “กยศ.” ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย? ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2–3 สิงหาคม 2561 จากประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปกระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น1,269 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการจัดการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษากรณีไม่ยอมชำระหนี้ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างด้วยความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling)โดยแบ่งชั้นภูมิตามภูมิภาค จากนั้นในแต่ละภูมิภาคสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันในกรณีมีผู้กู้ยืมเงิน กยศ.ไม่ชำระหนี้ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 54.06 ระบุว่าควรต้องรับผิดชอบเพราะผู้ค้ำยินยอมตามสัญญาที่กำหนดไว้ควรเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดจึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน รองลงมาร้อยละ 43.58 ระบุว่าไม่ควรต้องรับผิดชอบเพราะผู้ค้ำไม่ได้รับประโยชน์จากการกู้เลยและมีส่วนเกี่ยวข้องแค่บางส่วนเท่านั้น ผู้กู้ยืมจึงควรรับผิดชอบทั้งหมด และร้อยละ 2.36 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับบทลงโทษของผู้กู้ยืมเงิน กยศ.ที่ไม่ชำระหนี้พบ ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 62.57 ระบุว่าหักหนี้จากบัญชีเงินเดือนโดยอัตโนมัติ รองลงมาร้อยละ 31.84 ระบุว่าหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง ร้อยละ 17.26 ระบุว่าจับ/ปรับ และดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด ร้อยละ 14.42 ระบุว่า แบล็คลิสต์ธุรกรรมทางการเงิน ร้อยละ 9.30 ระบุว่า ยึดทรัพย์สิน และร้อยละ 2.13 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
สำหรับความเชื่อมั่นต่อ กยศ. ว่าจะสามารถติดตามการชำระหนี้กับผู้กู้ยืมได้เงินสำเร็จหรือไม่ พบว่าประชาชน ร้อยละ 8.59 ระบุว่า เชื่อมั่นมากที่สุด ร้อยละ 55.40 ระบุว่าเชื่อมั่นมาก ร้อยละ 27.19 ระบุว่าไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ5.20 ระบุว่าไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ3.62 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ โดยผู้ที่ระบุว่ามีความเชื่อมั่นมาก–มากที่สุด ได้ให้เหตุผลว่า มาตรการต่างๆในการติดตามทวงหนี้ของ กยศ. มีหลากหลายช่องทาง และมีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ในการทำงาน ส่วนผู้ที่ระบุว่า ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่น – ไม่มีความเชื่อมั่นเลย ให้เหตุผลว่า กยศ.ไม่มีมาตรการที่ดีพอในการติดตามการชำระหนี้และหลักเกณฑ์ในการดำเนินการต่างๆยังไม่ครอบคลุม ขณะที่บางส่วนระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ยังไม่เด็ดขาดพอ
เมื่อถามถึงประสิทธิภาพของระบบการติดตามการชำระหนี้ กยศ.ในปัจจุบัน พบว่าประชาชนร้อยละ 5.28 ระบุว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด ร้อยละ 41.37 ระบุว่ามีประสิทธิภาพมาก ร้อยละ 37.98 ระบุว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 9.46 ระบุว่าไม่มีประสิทธิภาพเลย และร้อยละ 5.91 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ โดยผู้ที่ระบุว่า มีประสิทธิภาพมาก–มากที่สุด ได้ให้เหตุผลว่า มีระบบการติดตามการชำระหนี้ที่เข้มงวดและเด็ดขาดพอสมควร ส่วนผู้ที่ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ–ไม่มีประสิทธิภาพเลย ให้เหตุผลว่า มีมาตรการจัดการที่ไม่เด็ดขาด และไม่ต่อเนื่องในการติดตามการชำระหนี้
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการให้กู้ยืมและการติดตามการชำระหนี้ของ กยศ.พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ40.03 ระบุว่า คัดกรอง ผู้กู้ยืมอย่างละเอียดก่อนให้กู้ยืมเงินว่าต้องมีฐานะยากจนจริง รองลงมา ร้อยละ 37.59 ระบุว่า กำหนดผู้ค้ำประกันให้เป็นบิดา มารดา หรือ ญาติของผู้กู้ยืมเงิน ร้อยละ 30.34 ระบุว่า ติดตาม/ตรวจสอบสถานะประวัติผู้กู้เงิน กยศ.ตลอดเวลา ร้อยละ 13.00 ระบุว่าออกกฎหมาย/บทลงโทษขั้นรุนแรง กับผู้ค้างชำระหนี้ กยศ.ร้อยละ 11.82 ระบุว่า ควบคุมจำนวนเงินกู้กับผู้กู้ยืมเงิน กยศ.ร้อยละ11.35 ระบุว่ายกเลิกการให้มีผู้ค้ำประกันการกู้ยืมเงิน กยศ.ที่มิใช่บุคคลในครอบครัว หรือญาติ ร้อยละ0.55 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ใช้หลักทรัพย์ในการค้ำประกัน ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก มีงานรองรับกรณีที่ผู้กู้ไม่มีเงินชำระหนี้ หรือยากจนจริงๆ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ควรยกเลิกการให้กู้เงิน กยศ. ไปเลย และร้อยละ 5.99 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ .-สำนักข่าวไทย