ผลสำรวจพบเลือกตั้งเทศบาลซื้อเสียงสูงถึง 4,000 บาทต่อหัว

กรุงเทพฯ 2 พ.ค. – ผลสำรวจพบเลือกตั้งเทศบาลซื้อเสียงสูงถึง 4,000 บาทต่อหัว ประชาชนส่วนใหญ่ปฏิเสธคนโกง ต้องการผู้สมัครที่มีนโยบายต้านคอร์รัปชัน รับไม่ได้หากผู้สมัครมีประวัติทุจริต เครือข่ายหวังคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญต้านคอร์รัปชัน วอน กกต. ตรวจเข้มเลือกตั้ง 11 พ.ค.นี้


มูลนิธิ “เพื่อคนไทย” ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ร่วมกันแถลง “ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และนายกเทศมนตรี” โดยสำรวจความคิดเห็นประชาชน 1020 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-25 เมษายน 2568 โดยแบ่งเป็นผลสำรวจความเห็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (อายุ 18 ปีขึ้นไป) จำนวน 711ตัวอย่าง และกลุ่มที่ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง (อายุ 15-17 ปี) จำนวน 309 ตัวอย่าง

โดยในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ประชาชนร้อยละ 66.1 ระบุว่าเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทุจริตของนักการเมืองท้องถิ่น โดยรูปแบบทุจริตคอร์รัปชันในเทศบาลที่เจอบ่อยคือ เรียกรับสินบนแลกออกใบอนุญาตต่างๆ ร้อยละ 18 เรียกเงินทอนจัดซื้อจัดจ้างกับผู้รับเหมา/รับจ้าง ร้อยละ 17.8 และรับธุรกิจสีเทาให้ดำเนินกิจการในท้องถิ่นโดยไม่ถูกตรวจสอบ ร้อยละ 14.7


ทั้งนี้ ประชาชนร้อยละ 94.7 อยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่นหรือในจังหวัด และร้อยละ 68 ระบุว่าถ้าไม่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันจะไม่เลือก ประชาชนร้อยละ 65.9 รับไม่ได้หากสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีมีการทุจริตคอรัปชันบ้าง แต่มีผลงานและทำประโยชน์ให้พื้นที่ และมากถึงร้อยละ 87.3 ระบุว่าการที่ผู้สมัครเคยมีความคุ้นเคยไม่เป็นสาเหตุให้ตัดสินใจเลือก

ประชาชนร้อยละ 47.4 เชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงเกิดขึ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 1,110 บาทต่อคน (ซื้อเสียงสูงสุด 4,000 บาทต่อคน และต่ำสุด 120 บาทต่อคน) โดยประชาชนร้อยละ 86.4 มองว่าการซื้อเสียงไม่สามารถชักจูงให้ประชาชนเลือกผู้สมัครที่ให้เงินได้และ 84.2% ยอมรับไม่ได้หากมีการซื้อเสียงการเลือกตั้ง และร้อยละ 86.1 บอกว่ารับเงินแล้วจะไม่เลือกคนที่จ่ายเงิน

นอกจากนี้ร้อยละ 79 ระบุว่าหากพิสูจน์ได้ว่าผู้สมัครเคยมีประวัติทุจริตจะไม่เลือก รวมถึงบอกให้บุคคลในครอบครัวไม่เลือกเช่นกัน ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่ามีบุคคลในภูมิใจในการเลือกตั้งวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 แล้วทั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล โดยร้อยละ 87.9 บอกว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยร้อยละ 56 เชื่อมั่นน้อยว่าระบบการเลือกตั้งท้องถิ่นปัจจุบันจะได้คนดีมีความสามารถ


โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้แก่ นโยบายการพัฒนาพื้นที่ ความน่าสนใจของตัวผู้สมัคร ประวัติการทำงานที่ผ่านมา ความสามารถในการบริหารงบประมาณ วิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำ

ขณะที่ผลสำรวจความเห็นประชาชนกลุ่มอายุ 15-17 ปี เกือบครึ่งไม่พอใจผลงานของนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลปัจจุบัน ส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งมองว่ามีการบริหารงานที่ไม่โปร่งใส โดยร้อยละ 77.3 ระบุว่าหากมีโอกาสเลือกตั้งจะไม่เลือกหากไม่มีนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชัน และร้อยละ 67.3 รับไม่ได้หากสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีมีการทุจริตคอร์รัปชันบ้าง แม้จะมีผลงานและทำประโยชน์ให้พื้นที่ นอกจากนี้ร้อยละ 66.7 ระบุว่าจะไม่เรียกผู้สมัครหากพิสูจน์ได้ว่าเคยมีประวัติทุจริต

โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือก ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงกิน ความน่าสนใจของตัวผู้สมัครกระแสกลุ่มการเมืองคนรุ่นใหม่ ประวัติการทำงานที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในการสำรวจคาดว่าจะมีเงินสะพัดในช่วงการเลือกตั้ง สภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 48 ล้านคน กรณีมาเลือกตั้งร้อยละ 87.9 จะมีเงินสะพัดมากกว่า 42 ล้านบาท มาเลือกตั้งร้อยละ 66.51 จะมีเงินสะพัดมากกว่า 32 ล้านบาท และหากมาเลือกตั้งร้อยละ 50 จะมีเงินสะพัดมากกว่า 24 ล้านบาท

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยทำงานกับภาคีภาคสังคม โดยเริ่มขยายขอบเขตการต่อต้านคอร์รัปชันลงถึงฐานหน่วยเลือกตั้งหน่วยแรก จากผลสำรวจทั้งสองกลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่าประชาชนมองว่าการโกงป็นสิ่งไม่ดี พร้อมจะปฏิเสธคนไม่ดี ถ้าได้ทราบประวัติหรือข้อบกพร่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือก ผลสำรวจบอกซื้อเสียงเฉลี่ย 1,100 บาทต่อหัว แต่ในสนามจริง มีถึง 2,000 บาท จึงขอฝากเรื่องนี้ไปถึง กกต.

สำหรับเยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง เน้นความโปร่งอันดับ 1 ขณะที่ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้ความสำคัญเรื่องนี้ลำดับท้ายๆ ทำให้ภาคีเครือข่ายเห็นร่วมกันว่ามีความหวังกับคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจเห็นชัดเจนว่าประชาชนปฏิเสธผู้นำองค์กรที่ไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตและพร้อมจะร่วมมือทุกภาคส่วนในการกำจัดคอร์รัปชัน และในระดับท้องถิ่นยังมีการซื้อเสียง มีการทุจริตและน่าจะมีเงินสะพัดมาก ยิ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองหลัง เดือนพฤษภาคม ตัวเลขเงินสะพัดน่าจะมากกว่านี้ คาดหวังว่า กกต. น่าจะทำงานเข้มข้นขึ้นเพื่อสกัดการซื้อสียง เพื่อให้ได้คนโปร่งใส ผลสำรวจยังบอกว่าในอนาคตของภาคีภาคสังคมทั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และอีกหลายองค์กร จะขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่มากขึ้น เพราะประชาชนต้องการมีส่วนร่วม เหมือนสุนัขเฝ้าบ้านจะทำให้ภาคประชาชนมีพลัง การสำรวจ การเลือกตั้งระดับเทศบาลจึงสำคัญเพราะเป็นการเลือกตั้งในระดับพื้นฐาน ถ้ามีการทุจริตในการเลือกตั้งระดับนี้ การเลือกตั้งระดับอื่นย่อมจะมีตามมาด้วย

นายวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิ “เพื่อคนไทย” กล่าวว่า ผลสำรวจชัดเจนว่าประชาชนรับทราบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชันกว้างขวาง และไม่ยอมรับคนโกง มีผลต่อมิติต่างๆ ในชีวิตความเป็นอยู่ จึงไม่พอใจกับผลงานของผู้บริหารเทศบาลในอดีต และเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว ประชาชนยังอยากมีส่วนร่วมติดตาม ตรวจสอบ งานสำรวจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการชื่อ “1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล” ที่มีภาคสังคมหลายองค์กรทำร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งคราวนี้ เรามีความหวังกับเยาวชนอายุ 15-17 ปี ที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาความเป็นประชาธิปไตยให้เข้มแข็งได้

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า รูปแบบการโกง พฤติกรรมการโกงในภาครัฐและในท้องถิ่น ไม่แตกต่างกัน และมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สำหรับเงินซื้อเสียงในที่ผ่านมาการเลือกตั้งท้องถิ่น ระดับ อบจ. มีการซื้อเสียง 700-800 บาท ต่อหัว แต่ครั้งนี้หน่วยเลือกตั้งเล็กลง จำนวนเงินซื้อเสียงจะมากขึ้น ในระดับ อบต. ที่มีงบลงทุนหรือมีผลประโยชน์สูง หรือแหล่งท้องเที่ยวอัตราการซื้อเสียงจะมีผลประโยชน์มากขึ้น บางจุดพุ่งไป 10,000 กว่าบาท แต่การดำเนินคดีน่าผิดหวัง นำคนผิดมาลงโทษได้น้อยมาก หวังว่าความตื่นตัวของประชาชนจะช่วยกันเฝ้าระวัง บันทึกหลักฐาน แชร์ในโซเขียลมีเดียจะช่วยกระตุ้นให้ กกต. ทำงานได้มากขึ้น.-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

เปิดแนวต้านน้ำหล่มสัก ผลักดันแผนแก้น้ำท่วมซ้ำซาก

เพชรบูรณ์ 22 ก.ย. – แม้ว่าน้ำที่ท่วมชุมชนและย่านการค้าในเขตเทศบาลเมืองหล่มสัก ที่เพชรบูรณ์ จะลดลงแล้ว แต่ทิ้งความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะย่านการค้าเก่าแก่ที่เจอน้ำท่วม 2 รอบในช่วง 3 สัปดาห์ เรียกว่ายังไม่ทันได้ฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมรอบแรกเสร็จ ต้องมาเจอน้ำท่วมซ้ำอีก ขณะที่หลายคนกังวลและต้องเตรียมรับมือกับพายุที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ พร้อมเรียกร้องให้เร่งป้องกันและหาแนวทาง แก้ปัญหาระยะยาว ไม่ให้หล่มสักกลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก .-สำนักข่าวไทย

ฝนถล่มเชียงใหม่ ประกาศปิดน้ำตกแม่สา ส่วนวัดผาลาด เตือนน้ำป่าหลาก

เชียงใหม่ 22 ก.ย.-ฝนถล่มเชียงใหม่ อุทยานฯ ดอยสุเทพ-ปุย ประกาศปิดน้ำตกแม่สา อ.แม่ริม ชั่วคราว หลังน้ำป่าไหลหลาก ส่วนวัดผาลาด แจ้งเตือนชาวบ้านรับมือน้ำป่าหลากลงน้ำตกผาลาด ช่วงบ่ายวันนี้ ( 22 กันยายน) เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ เพจเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้โพสต์ข้อความประกาศปิดน้ำตกแม่สา ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากลงมาจนน้ำมีสีน้ำตาลขุ่น กระแสน้ำไหลแรงและเชี่ยวกราก โดยจะปิดน้ำตกแม่สาตั้งแต่วันนี้จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่พระมหาสง่า ไชยวงค์ เจ้าอาวาสวัดผาลาด ก็ได้โพสต์คลิปภาพวิดีโอ พร้อมข้อความ “มวลน้ำจากยอดดอยกำลังผ่านวัดผาลาด ญาติโยมด้านล่างช่วงนี้ก็เฝ้าไว้เน้อ” ซึ่งทางวัดผาลาดจะมีการแจ้งเตือนชาวบ้านที่อยู่ใกล้ทางน้ำไหลน้ำตกผาลาด และบริเวณเชิงดอยสุเทพในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้เฝ้าระวังน้ำป่าที่ไหลผ่านวัดลงสู่ด้านล่างทุกครั้ง สำหรับวัดผาลาดตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และมีน้ำตกผาลาดไหลผ่านพื้นที่วัดช่วงที่เกิดฝนตกหนัก จะมีน้ำป่าไหลหลากจากบนดอยสุเทพผ่านน้ำตกผาลาด ก่อนจะไหลลงสู่พื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่.-สำนักข่าวไทย

กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ชี้ JBC รับรองแล้ว

กทม. 22 ก.ย.- กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ชี้ JBC รับรองแล้ว สอดคล้อง MOU 2543 พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้วว่า หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44 สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. […]

ทีมทนายวัดนาป่าพง หอบเอกสารเข้าพบกองปราบ

22 ก.ย.- ทีมทนายวัดนาป่าพง หอบเอกสารเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ ขณะที่สีกาเยอรมนีเตรียมนั่งเครื่องเข้าพบตำรวจ 2 ต.ค.นี้ หลังจากที่นายนันทน อินทนนท์ ทนายความวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี พร้อมทีมทนายความ ได้มีการตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงประเด็นที่ น.ส.ทองใหม่ ขวัญหมื่น หรือ ทนายอุ้ม ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากสีกาจากประเทศเยอรมนี เข้ามาร้องเรียนที่กองบังคับการปราบปราม กล่าวหาว่า พระคึกฤทธิ์ ยักยอกเงินวัด ก่อนนำมาฟอกกับมูลนิธิพุทธวจนที่ประเทศเยอรมนีนั้น ความเคลื่อนไหวล่าสุดวันนี้ (22 ก.ย.68) เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม กองกำกับการ 2 นายนันทน อินทนนท์ ทนายความวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี และทีมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยนำเอกสารเป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับเส้นเงิน เงินบริจาคภายในวัด มามอบให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงในประเด็นต่างๆ โดยใช้เวลาในการชี้แจงกับพนักงานสอบสวนไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับทันที และไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด หลังจากนั้นทีมข่าวได้ติดต่อไปที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดนาป่าพง โดยเฉพาะเงินที่เปิดรับบริจาคทั่วประเทศ หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริง […]