นนทบุรี 30 ก.ค. – เขื่อนวชิราลงกรณระบายน้ำ 1-5 ส.ค. เพิ่มเป็น 31-36 ล้านลูกบาศ์กเมตร ป้องกันน้ำล้น เหมือนปี 45 ยืนยันเขื่อนมั่นคงปลอดภัย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แจ้งสถานการณ์น้ำเขื่อนวชิราลงกรณ ณ วันที่ 1 สิงหาคม เวลา 11.00 น. ว่า มีปริมาณน้ำกักเก็บ 7,253.14ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 81.86 % สูงกว่าเกณฑ์ควบคุม (URC:Upper Rule Curve) แต่ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 18.14 % หรือ 1,606.86 ล้าน ลบ.ม. โดยเมื่อวานนี้มีปริมาณน้ำไหลเข้า 108.46 ล้าน ลบ.ม มีการระบายน้ำผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 28.46ล้าน ลบ.ม ในวันนี้ (1 ส.ค.) จะปรับเพิ่มการระบายตามมติคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ โดยระบาย 31 ล้าน ลบ.ม., วันที่ 2 สิงหาคม 2561 เป็น 34 ล้าน ลบ.ม., วันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 เป็น 36 ล้าน ลบ.ม. เพื่อบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสม ซึ่งทางคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าหากไม่ระบายน้ำที่เหมาะสม หากมีน้ำไหลเข้าอ่างเพิ่มขึ้นก็จะมีความเสี่ยงที่น้ำจะเต็มและต้องระบายผ่านช่องทางประตูระบายน้ำฉุกเฉิน (spill way) เหมือนเช่นปี 2537, 2540 และปี 2545 ทั้งนี้ ทางเขื่อนได้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนวชิราลงกรณมีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2561 ที่มีฝนตกหนักในพื้นที่เหนือเขื่อน ทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนสะสมมากที่สุดในรอบ 34 ปี
จากการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงพบว่ายังคงมีแนวโน้มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำมีมติให้เขื่อนวชิราลงกรณปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเดิมวันละ 28 ล้าน ลบ.ม. เป็นวันละ 36 ล้าน ลบ.ม. โดยทยอยพร่องน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำเพิ่มวันละ 2-3 ล้าน ลบ.ม เนื่องจากเขื่อนจะต้องรองรับปริมาณน้ำไหลเข้าในช่วงฤดูฝนนี้รวมระยะเวลาอีกกว่า 2 เดือน ซึ่งการระบายน้ำแต่ละครั้งจะส่งหนังสือแจ้งให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้นำท้องถิ่น และประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้ทราบล่วงหน้าทุกครั้ง
นายณัฐวุฒิ ย้ำว่าเขื่อนของ กฟผ.ทุกแห่งยังคงมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย มีการออกแบบก่อสร้างเขื่อนที่เป็นไปตามหลักวิศวกรรม โดยตลอดอายุการใช้งานกำหนดให้มีการตรวจสอบเป็นประจำ โดยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทั้งการตรวจวัดด้วยสายตาและการตรวจวัดด้วยเครื่องมือเป็นประจำทุกวันและทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้เพื่อติดตามพฤติกรรมของเขื่อนตลอดเวลา เช่น การตรวจวัดการรั่วซึมของน้ำ แรงดันน้ำภายในตัวเขื่อนและฐานราก การทรุดตัวและการเคลื่อนตัว อีกทั้งยังมีการตรวจสอบเขื่อนอย่างเป็นทางการทุก ๆ 2 ปี จากผู้เชี่ยวชาญพิเศษทุกสาขาอย่างละเอียด เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมเขื่อนในเชิงลึก ทั้งนี้ หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ จากคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าเขื่อนของ กฟผ. จะทำหน้าที่เก็บกักน้ำเพื่อบรรเทาอุทกภัยให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามแผนการระบายน้ำของกรมชลประทานและคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ รวมทั้งของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำแต่ละจังหวัด โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดได้ทางเว็บไซต์ WATER.EGAT.CO.TH หรือ www.vrk.egat.com และแอพพลิเคชั่น EGAT Water ซึ่งสามารถดาวน์โหลดค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำได้อย่าง Real Time ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีการถ่ายทอดสดจากกล้อง CCTV ของแต่ละเขื่อนอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย