กรุงเทพฯ 27 ก.ย.-สทนช. ปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ตอนบน เตรียมพื้นที่ว่างรองรับฝนระลอกใหม่จากพายุโซนร้อนกำลังแรง “บัวลอย” พร้อมประสานผู้ว่าฯ-ปภ. ยกระดับเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภาคเหนือที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขา
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ได้ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์น้ำในห้วงที่ประเทศไทยจะได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อนกำลังแรง “บัวลอย”
ที่ประชุมมีมติปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนขนาดใหญ่ที่เคยลดลงก่อนหน้านี้ ให้กลับสู่อัตราที่เหมาะสม เพื่อเตรียมพื้นที่รับน้ำจากพายุลูกใหม่ “บัวลอย” ซึ่งคาดว่า จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักช่วงปลายเดือนกันยายน โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
ในลุ่มเจ้าพระยาใหญ่ได้พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ จากเดิมวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. เช่นเดียวกับเขื่อนภูมิพลที่ปรับเพิ่มจากวันละ 10 ล้าน ลบ.ม. เป็น 15 ล้าน ลบ.ม. เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและเตรียมพื้นที่ว่างรับน้ำฝน
ส่วนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้นใกล้เต็มอ่างในต้นเดือนตุลาคม ยังคงระบายน้ำที่ 51.87 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ขณะเดียวกันยังติดตามสถานการณ์น้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอย่างใกล้ชิด โดยปรับลดการระบายจาก 2,200 ลบ.ม./วินาที เหลือ 2,100 ลบ.ม./วินาทีและเพิ่มการระบายไปทางฝั่งตะวันตก–ตะวันออก เพื่อลดระดับน้ำพื้นที่เหนือเขื่อนใน จ.ชัยนาทและอุทัยธานี รวมถึงช่วยเหลือพื้นที่ท้ายเขื่อนใน จ.พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขื่อนอุบลรัตน์มีการทยอยระบายน้ำแบบขั้นบันไดอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้เพิ่มการระบายถึง 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวันและจะคงอัตรานี้ต่อไปสักระยะ โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำชีได้เตรียมแผนลดผลกระทบด้านท้ายน้ำในพื้นที่ จ.ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และยโสธรไว้ล่วงหน้าแล้ว
ข้อห่วงใยสำคัญคือ พื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาโดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ห่วงภาวะน้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่ม พร้อมเน้นย้ำเรื่องการแจ้งเตือนภัย สทนช. ได้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อสนับสนุนข้อมูล เครื่องมือ และแนวทางปฏิบัติเพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงใน จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ และน่าน หากได้รับการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการให้อพยพ ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ สทนช. จะติดตามสภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) อย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์.-512-สำนักข่าวไทย