กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – กรมชลประทานเตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนพระรามหก ระหว่างวันที่ 26–28 ก.ย.นี้ เพื่อรองรับน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ที่เพิ่มอัตราระบายน้ำ เริ่ม 24 ก.ย. เป็นต้นไป คาดอาจกระทบชุมชนลุ่มต่ำท้ายเขื่อนใน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้านเขื่อนเจ้าพระยาตรึงอัตราการระบาย โดยประสานเขื่อนใหญ่ตอนบนลดปริมาณน้ำไหลลงสู่ภาคกลาง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เร่งผลักดันน้ำในลุ่มน้ำชี พร้อมเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนอุบลรัตน์
กรมชลประทานเปิดเผยว่า ขณะนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำเก็บกักถึง 78% ของความจุ และยังคงมีน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำจาก 500 เป็น 650 ลูกบาศก์เมตร/วินาที โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ เพิ่มวันละ 50 ลบ.ม./วินาที เพื่อรักษาระดับน้ำในเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
ทั้งนี้เพื่อรองรับน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ รวมทั้งน้ำจากคลองชัยนาท-ป่าสักและฝนสะสม เขื่อนพระรามหกจึงเตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 550–700 ลบ.ม./วินาที ระหว่างวันที่ 26–28 ก.ย. 2568 ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักด้านท้ายเขื่อนเพิ่มขึ้นอีก 1.80–2.00 เมตร โดยระดับนี้อยู่ในเกณฑ์วิกฤตและอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งได้แก่
- ตลาดท่าเรือ และหน้าเทศบาลตำบลท่าเรือ
- ชุมชนวัดสะตือ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
ขณะเดียวกัน ที่เขื่อนเจ้าพระยาคงระบายน้ำในอัตรา 2,200 ลบ.ม./วินาที โดยอัตราดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อนในจังหวัด ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี จึงประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดการระบายน้ำจากเขื่อนตอนบน ได้แก่
- เขื่อนภูมิพล: จาก 10 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือ 5 ล้าน ลบ.ม./วัน
- เขื่อนสิริกิติ์: จาก 20 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือ 10 ล้าน ลบ.ม./วัน
การปรับลดนี้จะทยอยดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23–26 ก.ย. และจะช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C2 ที่ จ.นครสวรรค์ ทำให้สามารถตรึงอัตราการระบายของเขื่อนเจ้าพระยาไว้ในระดับเดิมต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนกันยายน ก่อนจะพิจารณาลดระดับลงอีกในช่วงต้นเดือนตุลาคม หากฝนเริ่มคลี่คลาย
ด้านลุ่มน้ำชีซึ่งคาดว่า จะได้รับอิทธิพลจากฝนที่กำลังจะเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนอีกระลอก ขณะนี้ เขื่อนอุบลรัตน์ มีน้ำเก็บกักแล้วถึง 78% ของความจุ ที่ประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชีจึงมีมติให้เพิ่มการระบายน้ำจากเดิมไม่เกิน 25 ล้าน ลบ.ม./วัน เป็นไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม./วัน พร้อมวางแผนประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งผลักดันน้ำลงแม่น้ำโขงผ่าน จ.อุบลราชธานีอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน
กรมชลประทานขอให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำโดยเฉพาะท้ายเขื่อนต่างๆ ติดตามประกาศแจ้งเตือนภัยจากทางราชการอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมรับมือกับสถานการณ์น้ำในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงจากฝนตกสะสมและระดับน้ำที่อาจเพิ่มสูงขึ้น.512 – สำนักข่าวไทย