ภท. 23 ก.ย.- “ภราดร” ขอพรรคประชาชนอย่าหวาดระแวงกันเอง หลัง “พริษฐ์” ห่วงกินรวบ สว.เลือก ส.ส.ร. หวั่นนำไปสู่การตีความ จะเดินหน้าได้ยาก การเสนอกฎหมายเห็นต่างกันเรื่องปกติ
นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญ ว่า พรรคภูมิใจไทยได้ทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 โดยเพิ่มหมวด 15 / 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และให้สมาชิกได้เข้าชื่อกัน ซึ่งสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทยเข้าชื่อใกล้ครบแล้ว ซึ่งวันนี้การประชุมพรรคภูมิใจไทย ก็จะได้ลงชื่อเพิ่มเติม แต่ตามรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียง 1 ใน 5 แต่เรามี 69 เสียง ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขได้ จึงต้องขอความเห็นชอบ จาก สส.ของพรรคร่วมรัฐบาล เบื้องต้นได้มีการหารือนอกรอบแล้ว และจะมีการรวบรวมรายชื่อ คาดว่าแต่ละพรรคจะมีการประชุมพรรคในช่วงบ่าย ก็จะได้รายชื่อที่ครบถ้วน โดยในวันพรุ่งนี้ก็จะมีการนัดหมายกันเพื่อยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา เพื่อบรรจุในระเบียบวาระ
ส่วนจะมีการใช้โมเดลแบบไหน นาย ภราดร ระบุว่าร่างของพรรคภูมิใจไทย ที่มาของ สสร. พยายามจะแก้ไข เนื่องจากร่างเดิมที่เคยทำไว้ ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งใจว่าสสร. ต้องมามาจากการเลือกของประชาชน แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงนำร่างมาแก้ไขเพิ่มเติม โดยสสร. ที่มีการแก้ไขนั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 77 คน จังหวัดละหนึ่งคน โดยวิธีได้มาคือให้ผู้ที่มีความประสงค์จะลงสมัคร สสร. สมัครผ่านจังหวัดต่างๆ เบื้องต้นอาจหารือกับ กกต. ให้รับผิดชอบ เรื่องการรับสมัคร และเมื่อได้ผู้สมัครแล้วก็จะให้รัฐสภาเลือก เหลือผู้สมัครเพียงหนึ่งคน
และส่วนที่ 2 มาจากนักวิชาการด้านต่างๆ โดยคุณสมบัติแบ่งเป็นสามส่วน ประกอบด้วย นักนิติศาสตร์ 7 คน นักรัฐศาสตร์ 7 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ 8 คน รวม 22 คน ซึ่งจะมีรัฐสภาเป็นผู้เลือกในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้หากรวม สสร.ทั้ง 2 ส่วน ก็จะได้ทั้งหมด 99 คน
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับพรรคประชาชนเรื่องโมเดลการได้มาของสสร. อย่างไรบ้าง นายภราดร กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยหารือนอกรอบมาโดยตลอด ทั้งกับนายไชยชนก ชิดชอบ หัวหน้าคณะทำงาน ศึกษาการทำประชามติ ของพรรคภูมิใจไทย และคณะทำงาน เช่น นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล นางสาวแนน บุญย์ธิดา สมชัย และตน รวมทั้งนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน ได้หารือกันเบื้องต้น หลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการตีความ หลังจากที่เราได้ยื่นแก้ไขไปแล้ว เนื่องจากเรารู้ว่าเวลาของรัฐบาล และเวลาของสภาชุดนี้มีเวลาแค่ 4 เดือน เพราะฉะนั้น หากไปกระทำการที่สูญเสียต่อการละเมิดต่อคำวินิจฉัยของศาล อาจจะนำไปสู่การตีความได้ และเมื่อนำส่งไปสู่การตีความ ก็จะทำให้กระบวนการชะงักหยุดลง และไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ตนจึงคิดว่าทุกพรรค ทุกส่วนต้องมาพูดคุยกัน ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาก่อนหน้านี้
เมื่อถามว่า นายพริษฐ์ ระบุว่าโมเดลการสรรหาสสร.ของพรรคภูมิใจไทย จะทำให้เกิดการกินรวบ นายภราดร กล่าวว่า ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก และพรรคตนมีเสียง 70 เสียง จะไปกินรวบได้อย่างไร และพรรคประชาชนมีเสียง 140 กว่าเสียง พรรคเพื่อไทย 140 กว่าเสียง และพวกตนจะไปกินรวบได้อย่างไร ในขณะที่เสียงแค่ 70 เสียง
“ วันนี้อย่าหวาดระแวงกัน จนเกินไปหนัก หากกวาดระแวงเกินไปแทนที่จะเดินหน้า กลับต้องถอยหลัง และเป้าหมายสูงสุดของพวกเราร่วมกันที่จะเดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากมัวหวาดระแวงกัน จะเดินหน้ากันได้ยาก เพราะเวลามีจำกัดเพียง 4 เดือน เชื่อว่าทุกคนต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจ เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกันคือการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญตาม MOA ให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ” นายภราดร กล่าว
เมื่อถามว่า หากไม่ให้รัฐสภาเลือกจะใช้วิธีการแบ่งโควตาตามสัดส่วนของสส.ได้หรือไม่ นาย ภราดรกล่าวว่า การแบ่งเป็นโควตาจะเป็นการกินรวบหรือไม่ ซึ่งการแบ่งเป็นโควตาพรรคที่มีเสียงมาก ก็จะได้สัดส่วนมาก เหมือนในกรรมาธิการ พรรคที่มีเสียงมากที่สุดก็จะได้สัดส่วนมากที่สุด พรรคที่มีเสียงน้อยก็จะได้สัดส่วนน้อย แบบนี้ต่างกันอย่างไร
เมื่อถามว่า ถ้ายังรู้สึกไม่ลงรอยกันแบบนี้ จะไปกันยากหรือไม่ นายภราดรกล่าวว่า ยังมีเวลาอีกมาก ก็เป็นแบบนี้เวลาที่มีการเสนอกฎหมายใดๆ ไม่มีใครเห็นเหมือนกันทั้งหมด แต่ละพรรคก็มีความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่สุดท้ายปลายทางมีปลายทางเดียวกัน คือการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะฉะนั้น เมื่อทุกคนมีปลายทางเดียวกัน ก็ต้องเจรจาเพื่อหาแนวทาง เพื่อให้ทุกฝ่ายเดินไปด้วยกันได้ ไม่ให้เกิดการสะดุดหยุดลงระหว่างทาง -สำนักข่าวไทย